นักกลยุทธ์มอร์แกน สแตนลีย์ ชี้ ตลาดเอเชียได้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และน่าจะฟื้นตัวในปีหน้าเนื่องจากจีนจะดำเนินนโยบายเงินแบบขยายตัวเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และวงจรนโยบายเงินกำลังเปลี่ยนไปเอื้อต่อตลาดเอเชียโดยเฉพาะในจีน
ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีแรงเทขายอย่างรุนแรงในวันสุดท้ายของสัปดาห์ โจนาธาน การ์เนอร์ หัวหน้านักกลยุทธ์หุ้นในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า ตลาดเอเชียได้ถึงจุดต่ำสุดแล้วและน่าจะฟื้นตัวในปีหน้า เนื่องจากจีนจะดำเนินนโยบายเงินแบบขยายตัวเพื่อช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ
การ์เนอร์ กล่าวว่า “วงจรนโยบายเงินของจีนกำลังสวนทางกับวงจรนโยบายเงินของสหรัฐ” และสำหรับตลาดโดยรวมแล้วนั่นจะเป็นผลดีเมื่อจีนผ่อนคลายนโยบาย
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวันพุธ 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ และในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมาธนาคารกลางจีนประกาศคงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้น
การ์เนอร์ กล่าวว่า จริง ๆ แล้วรัฐบาลปักกิ่งกำลังเริ่มผ่อนคลายนโยบายเงินอย่างเงียบ ๆ และมาตรการอื่น ๆ ที่จีนได้ทำเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ลดดอกเบี้ยจำนองอสังหาริมทรัพย์ในบางเมืองและใช้เครื่องมือนโยบายที่เรียกว่า “ธุรกรรมให้กู้ยืมสภาพคล่องระยะกลาง” เพื่อกระตุ้นให้มีการปล่อยกู้แก่บริษัทเอกชนและบริษัทขนาดเล็ก
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มอร์แกน สแตนลีย์ ได้อัพเกรดหุ้นในตลาดเกิดใหม่จาก “ลดน้ำหนักลงทุน” (underweight) เป็น “เพิ่มน้ำหนักลงทุน” (overweight) สำหรับปีหน้า ในขณะที่ได้ลดน้ำหนักลงทุนของหุ้นสหรัฐ
การ์เนอร์ กล่าวว่า วงจรนโยบายเงินกำลังเปลี่ยนไปเอื้อต่อตลาดเอเชียโดยเฉพาะในจีน และกล่าวว่าตลาดในเอเชียได้ถึงจุดต่ำสุดแล้วเมื่อปลายเดือนตุลาคมหรือต้นเดือนพฤศจิกายน โดยมอร์แกน สแตนลีย์ มีความเชื่อมั่นโดยสิ้นเชิงต่อตลาดในเอเชีย
การ์เนอร์ กล่าวว่า นักลงทุนจำนวนมากกังวลเนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงแต่มีการโฟกัสไปที่การปรับตัวลงของดัชนีเอสแอนด์พี 500 มาก ซึ่งคิดว่านักลงทุนกำลังพลาดจุดเปลี่ยนในตลาดเอเชียเป็นส่วนใหญ่
มอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่าตลาดเกิดใหม่ใหญ่ ๆ อย่างเช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และบราซิล จะมีผลงานดีในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า การปรับตัวขึ้นในตลาดเหล่านี้จะแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการปรับตัวลงในสหรัฐ
ตลาดหุ้นในเอเชียได้ปรับตัวลงต่อในวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังจากที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงในวันก่อนหน้าเมื่อมีแนวโน้มว่ารัฐบาลสหรัฐจะต้องปิดทำการและการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนตกใจและรีบไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า
ดัชนีนิกเกอิปรับตัวลง 1.1% ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา และได้ปรับตัวลงถึง 5.6% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนหุ้นออสเตรเลียปรับตัวลง 0.7% วนเวียนเหนือระดับต่ำสุดในรอบสองปีที่ได้ลงไปแตะในช่วงเช้า
ตลาดหุ้นจีนดิ่งลงถึง 1.4% ส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะว่าสหรัฐกล่าวหาว่ารัฐบาลปักกิ่งจารกรรมข้อมูลของหน่วยงานรัฐบาลและบริษัททั่วโลก
ความเชื่อมั่นในตลาดได้เริ่มเปลี่ยนไปในวันพฤหัสบดีหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐยังคงประกาศทำตามแผนการที่จะขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่ามีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเติบโต
ตลาดยังตื่นตระหนกเพิ่มเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ยอมลงนามรับรองกฎหมายที่จะให้เงินแก่รัฐบาลหากไม่ได้เงินที่จะนำไปสร้างกำแพงบริเวณชายแดนเม็กซิโก จึงมีความเสี่ยงที่หน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลกลางจะต้องปิดทำการในวันเสาร์ที่ผ่านมา
เอลเลียต คลาร์ก นักเศรษฐศาสตร์ของเวสต์แพ็ก กล่าวว่า ความเสี่ยงทางการเมืองในวอชิงตันยิ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดมากขึ้น
วิกฤติการเมืองในสหรัฐยังรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีข่าวว่า จิม แมททิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ยื่นใบลาออกหลังจากที่ทรัมป์เสนอให้ถอนทหารออกจากซีเรีย นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยจากแหล่งข่าวหลายรายว่า ทรัมป์กำลังจะเสนอให้ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานเช่นกัน
ข้อมูลจากลิปเปอร์ชี้ว่า นักลงทุนถอนเงินออกจากกองทุนหุ้นเกือบ 34,600 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ล่าสุด และกำลังจะมีการถอนเงินออกจากหุ้นในเดือนนี้มากสุดเป็นประวัติการณ์
Source: ข่าวหุ้น
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
สนับสนุนข่าวโดย ICMarkets
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/