ตลอดช่วงหลายสัปดาห์มานี้ การลงทุนในสินทรัพย์หลายตัวดูจะมีความผันผวนสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นที่ทรงๆ ทรุดๆ หรือน้ำมันโลกที่สาละวันเตี้ยลงและเพิ่งร่วงไปวันเดียวถึง 8% เมื่อวันแบล็ก ฟรายเดย์ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา จนสัญญาน้ำมันเวสต์เทกซัสเกือบหลุด
50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และเบรนต์ลงมาต่ำกว่า 60 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
แต่ที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าแบบเทียบกันไม่ติด คงหนีไม่พ้น "บิตคอยน์" ที่มีราคาทรุดลงจนได้ชื่อว่าเป็นเงินคริปโทที่เข้าสู่ภาวะตลาดหมี (ตลาดขาลง) ได้แรงที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของสินทรัพย์ประเภทคริปโทเคอเรนซีไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเกือบ 1 ปีก่อนในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2017 หลายคนตั้งความหวังไว้ว่าจะได้เห็น บิตคอยน์ขึ้นไปทะลุ 2 หมื่นดอลลาร์ในปีนี้ หลังจากที่ทุบสถิติไป 19,783.21 ดอลลาร์/บิตคอยน์ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.
ทว่าไม่เพียงแต่จะทำสถิติใหม่ไม่ได้แล้ว ราคาบิตคอยน์ยังดิ่งลงหนักเกือบ 5 เท่า จนลงไปแตะ 3,475 ดอลลาร์/บิตคอยน์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก่อนจะขยับขึ้นมาได้อยู่ที่ 3,949 ดอลลาร์/บิตคอยน์ เมื่อวานนี้บนเว็บไซต์บิตแสตมป์
หากเทียบกับราคาสูงสุดเมื่อเดือน ธ.ค. 2017 ราคาบิตคอยน์ ณ ปัจจุบันนี้ดิ่งเหวลงไปแล้วถึงเกือบ 80% หรือหากเทียบเฉพาะใน ปี 2018 นี้ จะเท่ากับว่า ราคาบิตคอยน์ร่วงลงไปแล้วถึงกว่า 75% และยังฉุดให้เงินดิจิทัลสกุลอื่นดิ่งเหวลงไปตามๆ กัน อาทิ XRP และอีเธอร์ ที่ดิ่งลงมากถึง 12% และ 9% ตามลำดับจากข้อมูลของ คอยน์มาร์เก็ตแคป ดอท คอม
ที่สำคัญก็คือ ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายให้ความเห็นว่าราคาบิตคอยน์ ไม่น่าจะหยุดดิ่งเหวลงแค่นี้ และยังมีสิทธิหลุดระดับ 3,000 ดอลลาร์ อีกด้วย
ปัญหาของบิตคอยน์ก็คือ บิตคอยน์ยังไม่สามารถขยับชั้นขึ้นมาเป็นเงินสกุลทางเลือกใหม่สมกับชื่อ Digital Currency หรือเงินเสมือน Virtual Currency ได้ เพราะการใช้งานเสมือนเงินตรายังไม่แพร่หลายในวงกว้างอย่างที่ควรจะเป็น แต่ในทางกลับกัน บิตคอยน์กลับถูกมองเป็น สินทรัพย์เพื่อการลงทุน/เก็งกำไร มากกว่า หลังจากที่ได้รับไฟเขียวให้มีการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า บิตคอยน์ ฟิวเจอร์ส ได้ในตลาดสหรัฐเป็นครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ปัญหาเรื่อง "ความปลอดภัย" ก็ยังเป็นอีกช่องโหว่สำคัญที่ฉุดความเชื่อมั่นต่อบิตคอยน์มาตลอดทั้งปีนี้ จากข่าวการแฮ็กบรรดาเว็บไซต์ใหญ่ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋ารับฝากเงินเสมือนจริงที่จับต้องไม่ได้เหล่านี้ ทว่า 2 ประเด็นดังกล่าวเป็นเหมือนปัญหาพื้นฐานโดยปกติไปแล้ว
นักวิเคราะห์มองว่า "ปัจจัยใหม่" ที่เข้ามาฉุดราคาให้ดิ่งลงถล่มทลายลงเพียงช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ อาจมาจาก 3 เรื่องหลักๆ คือ การลงดาบและตรวจสอบเข้มข้นขึ้นจากรัฐบาล การที่พลพรรคนักขุดเริ่มโบกมือลาตลาด และการที่ราคาดิ่งลงไปจนถึงจุด Stop Loss ที่ทำให้รายย่อยต้องเทขายตัดขาดทุน
เมื่อช่วงกลางเดือน พ.ย.นี้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ได้เริ่มประกาศลงโทษทางอาญาเป็นครั้งแรกกับบริษัทบางรายที่ออกเหรียญ คริปโทสกุลใหม่ (ไอซีโอ) โดยไม่แจ้งตลาด อาทิ บริษัทแอร์ฟ็อกซ์ และพารากอน ซึ่งระดมทุนไปได้สูงสุด 27 ล้านดอลลาร์ และถูกลงโทษปรับกันไปรายละประมาณ 2.5 แสนดอลลาร์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการ "เอาจริง" ในการสอดส่องกำกับดูแลอุตสาหกรรมคริปโท และปราบปามเคสการละเมิดหรือฉ้อโกงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น
เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ยังมีรายงานข่าวของบลูมเบิร์กด้วยว่า เจ้าหน้าที่หน่วยงานของสหรัฐที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ว่า การที่บิตคอยน์ทำราคาทุบสถิติใหม่ไปได้ถึงเกือบ 2 หมื่นดอลลาร์ เมื่อปลายปีที่แล้วนั้น มาจากการ "ปั่นราคา" ของตลาดหรือไม่
ด้านวอลสตรีท เจอร์นัล ระบุว่า ราคาของบิตคอยน์นั้นขึ้นอยู่กับ "ดีมานด์" และ "ซัพพลาย" เป็นสำคัญ และการที่บิตคอยน์ดิ่งเหวอย่างรวดเร็วนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะดีมานด์ที่หายไปอย่างฮวบฮาบด้วย จากการแห่หนีกันอย่างตื่นตระหนก ซึ่งสะท้อนผ่านทั้งปริมาณการซื้อขายที่ลดลง การแตกพาร์เงินสกุลใหม่ บิตคอยน์ แคช ออกมา และล่าสุดยังสะท้อนผ่านตลาดนักขุดเหมืองที่ลดลงไปมากอีกด้วย
บล็อกเชน ลิมิเต็ด บริษัทข้อมูลและบริการกระเป๋าเงินคริปโท เปิดเผยว่า อัตราความเร็วในการประมวลผลเพื่อถอดรหัส (Hash Rate) ของการขุดบิตคอยน์นั้นเพิ่มขึ้นสูงมากในปีนี้ สะท้อนว่า มีคนเข้ามาเล่นบิตคอยน์กันมากขึ้นในแง่การขุดเหมือง (ประมวลผลทางคอมพิวเตอร์) หลังราคาขึ้นสูงสุดเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์นี้ อัตราดังกล่าวกลับลดลงอย่างรวดเร็ว สะท้อนว่าการลงทุนไปกับการขุดเหมืองทั้งซีพียู การ์ดจอ และระบบระบายความร้อน ได้ลดความร้อนแรงลงแล้ว
อีดิธ เยิง หุ้นส่วนของบริษัท 500 สตาร์ทอัพ กล่าวว่า มูลค่าของบิตคอยน์นั้นขึ้นอยู่กับดีมานด์และซัพพลาย ถ้านักขุดเหมืองเริ่มหยุด
บิตคอยน์ก็จะไม่ทำงานไปตามฟังก์ชั่นที่ควรจะเป็น และตลาดในภาพรวมทั้งหมดก็จะสูญเสียความเชื่อมั่นตามไปด้วย คราวนี้ผู้คนก็จะเริ่มตื่นตระหนก และเกิดการเทขายตามๆ กันออกมา
จุดนี้สอดคล้องกับที่ ซีเอ็นบีซี รายงานอ้างเทรดเดอร์หลายคนว่า การที่บิตคอยน์หลุดระดับ 4,000 ดอลลาร์ไปแล้วนั้น เป็นเหมือนกับการผ่านจุด Stop Loss ที่ นักลงทุนต้องขายตัดขาดทุนกันออกมา
สตีเฟน อินเนส จากบริษัท โอยันดา คอร์ป ระบุกับบลูมเบิร์กว่า ยังมีนักลงทุนอยู่ในเกมนี้อีกเป็นจำนวนมก หากบิตคอยน์พังลงมา หรือร่วงลงไปแตะสัก 3,000 ดอลลาร์
สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายมากกว่านี้ ทุกคนจะแห่หนีกันไปที่ประตูทางออก ซึ่งส่วนตัวแล้วคาดว่าราคาในระยะสั้นจะเคลื่อนไหวที่ระหว่าง 3,500-6,500 ดอลลาร์ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาจะร่วงลงไปอีกจนแตะระดับ 2,500 ในเดือน ม.ค.ปีหน้า
นั่นหมายความว่า ภาวะเลือดไหลในตลาดบิตคอยน์อาจยังไม่หยุด ง่ายๆ ในเวลานี้ จากเดิมที่มีการประเมินว่า มูลค่าตลาดเงินคริปโททั้งหมดหายไปแล้วมากกว่า 7 แสนล้านดอลลาร์ นับจากราคา สูงสุด แต่ปัญหานี้จะไม่กระทบ ต่อภาคเศรษฐกิจจริงเท่าใดนัก เพราะธนาคารและสถาบันการเงิน ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เข้าไปลงทุนในเงิน คริปโทกันอย่างเต็มตัวนัก
แต่สำหรับพลพรรคนักลงทุน รายย่อยที่หวังรวยเร็วกับสินทรัพย์ ทางเลือกใหม่ที่ให้ผลตอบแทนได้มากกว่า 100% ในช่วงสั้นๆ เช่นนี้ อาจต้องทำใจยอมรับความเสี่ยงสูงที่ ได้มากแต่ก็เจ็บมากเช่นกัน
โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ
Source: Posttoday
เพิ่มเติม
- Bitcoin is down more than 80% from last year's high, nearing its worst-ever bear market :
- Special Report: Little known to many investors, cryptocurrency reviews are for sale:
คลิก
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
สนับสนุนข่าวโดย ICMarkets
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/