ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาพจำของตลาดคือ “บริษัทที่ซื้อ Bitcoin = ผู้บริหารมี conviction = หุ้นตัวนี้คือ Bitcoin Proxy” แต่บทวิเคราะห์ล่าสุดจาก CoinTab ทำให้มุมมองนี้ต้องถูกทบทวนใหม่ทั้งหมด เพราะข้อมูลชี้ชัดว่า เบื้องหลังบริษัทที่ถือ Bitcoin ส่วนใหญ่แบกหนี้จำนวนมาก
และบางรายมี ภาระหนี้สูงกว่ามูลค่า Bitcoin ที่ถืออยู่ ด้วยซ้ำ
ข้อมูลชุดนี้เปิดเผยผ่านฐานข้อมูลใหม่ที่ผสานข้อมูลจาก BitcoinTreasuries กับไฟลิงงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ทำให้เห็น “ด้านมืดของงบดุล” บริษัทสาย BTC ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง
ภาพรวมช็อกตลาด: ถือ Bitcoin แต่หนี้ล้นงบดุล
CoinTab ระบุข้อมูลที่ทำให้หลายคนต้องสะดุ้ง:
-
73% ของบริษัทที่มี Bitcoin บนงบดุล “มีหนี้สิน”
-
39% ของบริษัทมี “หนี้รวมมากกว่ามูลค่า Bitcoin ที่ถืออยู่”
-
ประมาณ 10% มีพฤติกรรม “กู้เงินมา DCA Bitcoin โดยตรง”
→ ทำให้งบดุลกลายเป็นการ “เทรด BTC แบบใช้เลเวอเรจ”
กล่าวอีกแบบ…
บริษัทจำนวนมากไม่ได้ “ถือ BTC แบบเท่ ๆ” แต่กำลังแบกความเสี่ยงสองชั้นระหว่าง:
1) สินทรัพย์ความผันผวนสูง (BTC)
2) หนี้สินที่ต้องชำระตามเวลา (Liabilities)
จุดเปลี่ยน 10 ตุลาคม: วันที่งบดุลถูกเปิดโปง
วันที่ 10 ต.ค. กลายเป็นหมุดหมายสำคัญ เมื่อราคา Bitcoin ร่วงหนักจากราว 122,000 ดอลลาร์ → 107,000 ดอลลาร์ ในเวลาอันรวดเร็ว
ผลลัพธ์คือหุ้นกลุ่ม “บริษัทถือ BTC” ไม่ได้เทรดแบบ Bitcoin Proxy อีกต่อไป แต่ตลาดเริ่มมองว่าเป็น
“หุ้นเลเวอเรจที่ผูกกับ BTC + ความเสี่ยงเครดิตของบริษัท”
หลัง BTC ย่อแรง:
-
84% ของหุ้นบริษัทกลุ่มนี้ร่วงลงทันที
-
ราคาหุ้นเฉลี่ยร่วง 27% ในเวลาไม่กี่วัน
ไม่ใช่เพราะธุรกิจพัง ไม่ใช่เพราะรายได้ถดถอย
แต่ตลาด “Priced in ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง” ทันทีเมื่อ BTC ดิ่งลง
งบดุลแบบไหนเสี่ยง? ดูง่ายด้วยอัตราส่วน “หนี้ vs มูลค่า BTC”
ตัวอย่างให้เห็นภาพ:
บริษัท A
-
หนี้: 100 ล้านดอลลาร์
-
BTC บนงบดุล: 50 ล้านดอลลาร์
→ นี่ไม่ใช่ “บริษัทสาย Bitcoin” แต่คือบริษัทเลเวอเรจสูงที่ “มี BTC บางส่วน”
บริษัท B
-
หนี้: 50 ล้านดอลลาร์
-
BTC บนงบดุล: 100 ล้านดอลลาร์
→ BTC มีน้ำหนักจริงต่อความเสี่ยงบริษัท นักลงทุนให้ Premium ได้
แต่ปัญหาคือ มูลค่า BTC เปลี่ยนตลอดเวลา
แค่ BTC ร่วงครั้งเดียว บริษัทก็อาจเปลี่ยนจาก
“มี BTC มากกว่าหนี้” → “มีหนี้มากกว่า BTC”
ในเวลาไม่กี่วัน
CoinTab พบการกระจายตัวของบริษัทออกเป็น 3 กลุ่ม:
-
BTC แทบไม่ช่วยอะไร เมื่อเทียบกับภาระหนี้
-
อยู่ใกล้จุดสมดุล (Parity) เสี่ยงหลุดโซนปลอดภัยได้ง่าย
-
กลุ่มแข็งแรงจริง ถือ BTC มากกว่าหนี้ชัดเจน ทนการย่อลง ~50% ได้
บริษัทที่ “กู้เงินมา DCA Bitcoin” ความเสี่ยงทวีคูณ
ข้อมูลพบว่าราว 10% ของบริษัททั้งหมด ใช้ยุทธวิธีตรงไปตรงมา:
“กู้เงินมาซื้อ Bitcoin โดยตรง”
ช่วงตลาดขาขึ้น รูปแบบนี้ดูเหมือนเป็นกลยุทธ์เทพ:
-
ราคาขึ้น = ใช้เลเวอเรจขยายกำไร
-
หุ้นได้ narrative ว่าเป็น “สาย High Conviction”
-
นักลงทุนยอมให้ Premium สูง
แต่เมื่อ BTC ร่วงแรงวันที่ 10 ต.ค.
หลายบริษัทเจอสถานการณ์น่ากังวล:
-
มูลค่า BTC ที่ซื้อด้วยหนี้ → ต่ำกว่ายอดหนี้ที่กู้มา
-
ต้องขาย BTC บางส่วนเพื่อลดความเสี่ยงงบดุล
-
Narrative “ถือ Bitcoin สวย ๆ” กลายเป็น Risk Multiplier
ตลาดมองผิดมานานแค่ไหนแล้ว?
บทวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดมักเหมารวมบริษัทถือ Bitcoin เข้าถังเดียวกัน ทั้งที่จริงแล้ว
-
บางแห่งเป็นบริษัทเหมือง
-
บางแห่งเป็น SaaS, ฟินเทค
-
บางแห่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมที่แค่มี BTC นิดเดียวบนงบดุล
ช่วงสภาวะปกติ BTC ทำหน้าที่เป็น
“ตัวเสริม Upside” + เรื่องเล่าที่ทำให้หุ้นดูเท่ขึ้น
แต่เมื่อเกิดแรงเหวี่ยงในตลาด
หุ้นเหล่านี้เริ่มเทรดเหมือน:
“ฟิวเจอร์ส Bitcoin ที่ใส่เลเวอเรจ + ความเสี่ยงเครดิตบริษัท”
บริษัทที่ถือแค่ “พองาม” ก็โดนกดราคาไปพร้อมกับบริษัทที่ “ใส่เลเวอเรจเต็มแม็กซ์”
Cr.cryptoslate
-----------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you