ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว ประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่จนมากๆ ประเทศหนึ่งของโลก จนได้รับฉายาอันเป็นที่เลื่องลือว่า ประเทศจีนเป็น ‘คนป่วยแห่งเอเชีย’ อย่างไรก็ตาม มาในวันนี้ ประเทศจีนไม่เพียงสามารถหลุดพ้นจากคำว่า
‘คนป่วยแห่งเอเชีย’ ไปได้ แต่ยังสามารถขยายการเติบโตของประเทศ กลายมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสองของโลก และมีการคาดหมายกันว่า ในปี 2029 ประเทศจีนจะสามารถกลายมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก
คำถามที่น่าสนใจคือ ในระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมานี้ ประเทศจีนเขาทำได้อย่างไร ??
การเปิดประเทศของ เติ้งเสี่ยวผิง ริเริ่มนโยบายเศรษฐกิจแบบทุนนิยมภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์
ประเทศจีนเริ่มเปิดประเทศเป็นครั้งแรกในช่วงปี 1982 โดยการนำของเติ้งเสี่ยวผิง ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกที่ก้าวเข้าสู่ระบบทุนนิยมซึ่งนำโดยประเทศทางฝั่งตะวันตก ทำให้ประเทศที่ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั้นเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับประเทศจีนก่อนหน้าเปิดประเทศ จะพบว่าการเจริญเติบโตของจีนเทียบกับประเทศตะวันตกมีความแตกต่างแบบฟ้ากับเหว แต่หลังจากที่เติ้งเสี่ยวผิงเริ่มเปิดประเทศจีนโดยการเริ่มอนุญาตเปิดรับเงินลงทุนจากต่างประเทศ เริ่มส่งเสริมประชาชนชาวจีนให้ทำธุรกิจ มีการเปิดตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ รวมไปถึงการนำธุรกิจภายใต้ความควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกมาทำเป็นรัฐวิสาหกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตแบบก้าวกระโดด แม้ในช่วงที่ประเทศทางฝั่งเอเชียประสบปัญหาวิกฤติต้มยำกุ้ง ประเทศจีนก็ยังสามารถเจริญเติบโตได้ถึง 7.6%
2. เริ่มต้นจากการผลิตเพื่อขาย
ในช่วงแรก ประเทศจีนชูตัวเองว่าเป็นประเทศผู้ผลิตราคาถูก การชูว่าตัวเองเป็นผู้ผลิตสินค้าราคาถูกนั้นทำให้ประเทศจีนได้เปรียบการแข่งขันในระดับโลก สินค้าทั่วโลกกลายเป็นสินค้า ‘Made in China’ ผลที่เกิดขึ้นในประเทศจีนคือ มีการเกิดขึ้นของผู้ประกอบการเพื่อผลิตสินค้า มีการจ้างแรงงานจำนวนมากในประเทศจีน และมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศจีน ทั้งหมดนั้นส่งผลให้เศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
3. การขยายโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในแง่ปัจจัยพื้นฐาน ลอจิสติกและแง่การเงิน
โครงสร้างพื้นฐานประเทศที่สำคัญ อย่าง น้ำ ไฟฟ้า ถนน รถไฟ โทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลจีนใส่เงินเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้นับเป็นเงินหลายล้านล้านหยวนในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการลงทุนของรัฐบาลนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผลักดัน GDP ของประเทศให้ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และแม้การลงทุนภาครัฐจะเป็นการก่อหนี้ให้กับรัฐบาลจีน แม้ว่าสื่อทางตะวันตกจะวิพากษ์วิจารณ์ถึงการลงทุนที่มากเกินไปของรัฐบาลจีนโดยไม่อาจคาดการณ์ผลตอบแทนในอนาคตได้ว่าจะคุ้มทุนและได้กำไรเมื่อไหร่ แต่การลงทุนภาครัฐของจีนกลับเป็นการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของประชาชนชาวจีนทั้งหมด
การขยายโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับประเทศจีน มันคือการเชื่อมโยงภูมิภาค เชื่อมโยงบุคคล เชื่อมโยงผลผลิต และเชื่อมโยงธุรกิจการค้าเข้าด้วยกัน การเข้าถึงของน้ำและไฟ ทำให้ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าของจีนขยายตัวเป็นอย่างมาก การเข้าถึงของอินเตอร์เน็ต ทำให้ธุรกิจนับร้อยนับพันที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศจีนขยายตัว ที่สำคัญที่สุด การเข้าถึงอินเตอร์เน็ต ทำให้คนจีนเข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้ ดังนั้น โครงสร้างพื้นฐานสำหรับประเทศจีนแล้วเหมือนกับเป็นการสร้างจุดเริ่มต้นของจุดที่หนึ่ง เพื่อเชื่อมโยงไปยังจุดต่อๆ ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่งผลให้คนจีนสามารถยกระดับความมั่งคั่งของตัวเองได้อย่างรวดเร็วผ่านนโยบายโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้
4. การมี Roadmap ที่ชัดเจน
ประเทศจีนมีแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแผนระยะยาวอย่างแผน 100 Years Plan มาจนถึงแผนระยะสั้นอย่าง Made in China 2015 การที่ประเทศจีนมีแผนการพัฒนาและเดินตามแผนที่วางไว้ ทำให้ทุกนโยบายที่ออกมาล้วนแล้วแต่ตอบสนองเป้าหมายของแผนเหล่านี้ทั้งสิ้น การที่สามารถดำเนินตามแผนการณ์ที่วางไว้โดยไม่ขาดตอนด้วยปัจจัยทางการเมือง ทำให้ประเทศจีนสามารถพัฒนาตนเองไปข้างหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของผู้ออกกฏที่มีทิศทางในการออกกฏเพื่อสนับสนุนแผน ไปจนกระทั่งการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และฟากเอกชนเองก็สามารถพัฒนาธุรกิจและลงทุนในด้านที่รัฐบาลให้การสนับสนุนได้อย่างเต็มที่ เมื่อทั้งฟากรัฐบาลและเอกชนเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันด้วยแผนฉบับเดียวกัน เราจึงพบว่าทุกอย่างในประเทศจีนนั้นเปลี่ยนไปเร็วมาก ตาม Roadmap ที่ได้วางเอาไว้อย่างชัดเจน
5. Innovation Focus
จากการผลิตสินค้าคุณภาพต่ำราคาต่ำที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนในช่วงต้นของการเปิดประเทศ มาในขณะนี้ ประเทศจีนได้เปลี่ยนนโยบายไปแล้ว โดยประเทศจีนต้องการจะเป็นผู้ผลิตสินค้ามูลค่าสูง ในราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งสินค้าเหล่านั้นคือสินค้าในหมวดสินค้านวัตกรรม
เพราะเหตุนี้ ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราจึงพบว่าบริษัทของจีนหลายๆ บริษัท ได้เติบโตจากบริษัทที่ถูกกล่าวหาเรื่องการทำสินค้าลอกเลียนแบบ กลายเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมของตัวเอง มีแผนก R&D ที่ใหญ่โต และมีเม็ดเงินเพื่อทำ R&D ที่สูงมาก เช่นบริษัท Huawei เป็นต้น
นอกจากนี้ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เราเริ่มเห็นอุตสาหกรรมใหม่ที่เติบโตในประเทศจีน นวัตกรรมบางอย่างถูกนำมาปรับใช้ นำหน้าประเทศอื่นๆ ไปหลายขุม เช่น นวัตกรรมทางการเงิน ซึ่งประเทศจีนกลายเป็นประเทศแรกๆ ที่นำตัวเองเข้าสู่สังคมไร้เงินสด หรือนวัตกรรมด้าน Self-Driving Car ที่ประเทศจีนก็ได้นำมาใช้พัฒนาระบบการคมนาคมขนส่ง หรือนวัตกรรมด้าน Big Data และ Facial Recognition ที่ประเทศจีนนำมาพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อตามจับอาชญากรอย่างได้ผล
และเพราะในขณะนี้ ประเทศจีนกำลังทำตัวเป็น Innovation Hub แห่งใหม่ของโลก ทำให้งานที่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัยเรื่องของเทคโนโลยีในหลายสาขากำลังเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง จึงกลายเป็นว่ามีคนจำนวนมากในสายเทคโนโลยีพากันไปที่ประเทศจีนเพื่องานที่มีผลตอบแทนมากขึ้น โดยรัฐบาลจีนเองก็มีการผ่อนคลายกฏเพื่อรับแรงงานที่มีความรู้เหล่านี้เข้าประเทศเช่นกัน
สรุป
ประเทศจีนเป็นประเทศหนึ่งที่พัฒนาจากประเทศที่ยากจนข้นแค้นมากที่สุด กลายมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลก และกำลังจะแซงอันดับ 1 ได้ในไม่ช้านี้ การทำให้คนจำนวนมหาศาลที่ยากจน กลายเป็นคนที่มีระดับรายได้ปานกลาง มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย และมีเหลือพอจะไปท่องเที่ยว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้เลย แต่ด้วยระยะเวลาเพียง 40 ปีหลังจากเปิดประเทศ ความยากจนที่เคยพบเจออยู่ทั่วระหัวระแหงก็หายไป เมืองใหม่ถูกสร้าง ระบบการคมนาคมขนส่งถูกสร้างใหม่ แม้แต่ระบบการเงินก็ถูกยกเครื่องใหม่เช่นกัน
ประเทศจีนพัฒนาจากประเทศที่ผลิตสินค้าคุณภาพต่ำ ราคาถูก ซึ่งต้องพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก จนมาในวันนี้ซึ่งคนจีนเองมีความร่ำรวยขึ้นและมีความสามารถในการซื้อสินค้าได้มากมายจนกลายเป็นประเทศที่มีการนำเข้ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ทั้งหมดนั้นมีสาเหตุหลักเพราะโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลจีนเตรียมไว้สำหรับการยกระดับวิถีชีวิตของคนจีนทั่วทั้งประเทศ รวมไปถึงการออกกฏหมายที่ผ่อนคลายมากขึ้น นำระบบทุนนิยมมาปรับใช้ ส่งเสริมคนจีนให้ทำงานสร้างธุรกิจ เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย และส่งเสริมให้ประชาชนใช้จ่ายเงินผ่านระบบสังคมไร้เงินสด เพื่อเคลื่อนย้ายเงินนอกระบบมาสู่ในระบบ รวมทั้งยังสร้างให้รอบการหมุนของเงินในระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ส่งผลถึงการเพิ่มขนาดทางเศรษฐกิจของจีน รวมทั้งส่งผลต่อความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของคนจีนโดยรวมอีกด้วย
ถ้าจุดเปลี่ยนของประเทศจีนคือการเปิดประเทศ มาในวันนี้ การเปิดประเทศของจีนได้ยกระดับขึ้นไปอีกก้าว จากการส่งเสริมของรัฐบาลจีนให้บริษัทจีนออกไปขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะไปเพื่อขยายตลาดในต่างประเทศ หรือไปเพื่อให้ได้มาซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆ บางอย่าง หรือแม้แต่การนำเสนอโครงการ One Belt One Road การจัดตั้งธนาคาร AIIB และการนำเงินหยวนเข้าสู่ตะกร้าเงิน SDR สู่การเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่เป็น Reserve Currency ของโลก ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการนำประเทศจีนออกสู่ระดับนานาชาติมากขึ้นทั้งสิ้น
ก้าวต่อไปของประเทศจีนจึงเป็นก้าวที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง ว่าการนำประเทศขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทต่อประชาคมโลกของประเทศจีน จะขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจจีนเติบโตไปได้มากอีกเพียงใด และจะทำให้คนจีนทั้งประเทศมีความมั่งคั่งเพิ่มอีกแค่ไหน ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่ยังต้องติดตามกันต่อไป
Mei
.
Credit
https://fas.org/sgp/crs/row/RL33534.pdf
http://faculty.georgetown.edu/mh5/class/econ102/readings/China.pdf
https://www.everycrsreport.com/reports/RL33534.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Economic_history_of_China_(1949%E2%80%93present)
https://www.kpmg.de/docs/Infrastructure_in_China.pdf
https://www.mckinsey.com/industries/retail/our-insights/mapping-chinas-middle-class
https://www.chinausfocus.com/2022/wp-content/uploads/Part+02-Chapter+07.pdf
http://bruegel.org/2017/08/china-is-the-worlds-new-science-and-technology-powerhouse/
http://www.loc.gov/law/foreign-news/article/china-new-talent-visa-rules-published/
https://www.bloomberg.com/graphics/2016-us-vs-china-economy/
#China #MacroEconomics #Dinotech
Cr.DinoTech5.0
บทความสนับสนุนโดย FXPro
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman