ดาวโจนส์ปิดลบ 259.96 จุด Nasdaq บวก นลท.โฟกัสผลประกอบการ

เมื่อวันศุกร์ (25 ต.ค.) ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กมีการเคลื่อนไหวผสม โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และ S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ ในขณะที่ดัชนี Nasdaq สามารถปิดบวกได้ โดยมีแรงหนุนจากหุ้นขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงติดตามผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทรายใหญ่

ที่จะเปิดเผยในสัปดาห์หน้า ซึ่งมีแนวโน้มจะส่งผลต่อทิศทางของตลาดหุ้น

ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 42,114.40 จุด ลดลง 259.96 จุด หรือคิดเป็น -0.61% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,808.12 จุด ลดลงเพียง 1.74 จุด หรือ -0.03% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,518.61 จุด เพิ่มขึ้น 103.12 จุด หรือ +0.56%

ในภาพรวมของรอบสัปดาห์ ดัชนี Nasdaq เป็นเพียงดัชนีเดียวที่ปิดบวก โดยเพิ่มขึ้น 0.16% ในขณะที่ดัชนี S&P500 ลดลง 0.96% และดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.68% สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนที่อาจมีต่อผลประกอบการของบริษัทต่างๆ และปัจจัยเศรษฐกิจอื่น ๆ

ตลาดหุ้นนิวยอร์กในสัปดาห์นี้มีความผันผวนเนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น และนักลงทุนยังคงรอดูผลประกอบการรายไตรมาสจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสัปดาห์หน้า โดยหุ้นในดัชนี S&P500 ส่วนใหญ่ปิดลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีบางกลุ่มสามารถปิดบวกได้ โดยเฉพาะหุ้น Tesla ที่เพิ่มขึ้น 3.36% ตามแรงขับเคลื่อนจากคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีในวันก่อนหน้า

ไบรอัน จาคอบเซน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Annex Wealth Management กล่าวถึงการพุ่งขึ้นของหุ้น Tesla ว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นที่นิยม (Magnificent Seven) ยังมีศักยภาพในการปรับตัวขึ้น โดยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ขับเคลื่อนราคาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หุ้นของบริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ที่มีมูลค่าสูงในกลุ่มชิป ก็ได้รับแรงสนับสนุนเช่นกัน โดยมีช่วงที่มูลค่าตลาดสูงกว่าแอปเปิ้ลในบางช่วง

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ปรับตัวขึ้นมาถึงระดับ 4.26% ในสัปดาห์นี้ก็เป็นอีกปัจจัยกดดันตลาด โดยนักลงทุนมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นนี้อาจสะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้

หุ้นในกลุ่มธนาคารได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้น Goldman Sachs และ McDonald’s ซึ่งได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการระบาดของเชื้ออีโคไล ขณะที่หุ้นธนาคารภูมิภาคอย่าง New York Community Bancorp ร่วงลงมากกว่า 8% เนื่องจากรายงานขาดทุนจากสินเชื่อเชิงพาณิชย์

นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มแฟชั่นอย่าง Capri Holdings ก็ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลให้ระงับการควบรวมกิจการกับ Tapestry ทำให้หุ้น Capri ร่วงลงถึง 48.89% ในขณะที่หุ้น Tapestry ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก 13.54%

นักลงทุนยังคงระมัดระวังต่อการซื้อขายในช่วงเวลานี้ซึ่งใกล้กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย. รวมถึงการรอการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนต.ค. ซึ่งจะส่งผลต่อการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนพฤศจิกายน

คลิก

Cr.สำนักข่าวอินโฟเควสท์

----------------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4yo

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"