"ปัญหาเงินฝืด หนี้ท่วมหัว คือมะเร็งเรื้อรังทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น"

ตั้งแต่ปี 1991 หลังฟองสบู่แตก จากปล่อยเงินให้กู้ให้เฟ้อมาพัฒนาประเทศหนักและนานเกินไป รัฐบาลจึงต้องแก้ปัญหาโดยการตั้งอัตราเงินกู้ระหว่างธนาคารหรือ Inter Bank ให้สูงขึ้น จนสุดท้ายตลาดหุ้นพัง ฟองสบู่แตก และนานมาธนาคารก็ไม่กล้าปล่อยกู้

 สุดท้ายกลายเป็นปัญหา "เงินฝืด" และหนี้ท่วมประเทศมาจนถึงปัจจุบัน มาตลอดยาวถึงตอนนี้ "ญี่ปุ่น" มีปัญหาการเงินเรื้อรังที่ยังรักษาไม่หาย ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจที่โลกได้เห็นนั้นเป็นแค่ความมั่งคั่งของบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นผู้ครอบครองอำนาจที่แท้จริงของประเทศแคนั้นเอง แต่ตัวรัฐและประชาชนไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด ( เหมือนประเทศไทยที่ความมั่งคั่งอยู่ที่ไม่กี่ตระกูลดังๆ )

ญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องหนี้มากกว่า 200% ของจีดีพี หรือความหมายที่เข้าใจได้ง่ายก็คือ เงินเดือน 1,000 บาท เป็นหนี้ 2,000 บาท ตลอดมานานหลายสิบปีแล้ว และทางแก้ไขก็ต้องกู้เงินมาให้รัฐบาลจับจ่าย แต่พอกู้มาจ่ายแล้ว หรือต้องเก็บภาษีชาวบ้านมากขึ้น ชาวบ้านก็โดนขูดรีดภาษีมากขึ้น ก็จับจ่ายใช้สอยซื้อของน้อยลง ทำให้เกิดภาวะ “เงินฝืด” ไปทั่วประเทศ ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ก็หนีภาษีหนักๆ บินไปตั้งโรงงานในต่างประเทศทั้งในเอเชียและทวีปอื่นๆ ทำให้การเก็บภาษีเพิ่มเป็นเรื่องยาก แถมจะกระทบฐานเสียงการเมืองและการเลือกตั้งอีก

จึงเหลือทางออกเดียวจึงต้อง “กู้เงินสร้างหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่า” โดยการออกพันธบัตรมากมาย จนพันธบัตรล้นบริษัทและเกิดความหวาดระแวง สุดท้ายก็ออก QE ก็คือการลอกแบบอเมริกา โดยการพิมพ์เงินออกจาก BOJ ธนาคารกลางของญี่ปุ่นเพื่อจะมาซื้อหนี้พันธบัตรที่ขายออกไปจนสะสมเต็มล้น เพื่อให้ธนาคารและบริษัทต่างๆที่ซื้อไปกล้าที่จะเอาเงินมาลงทุนและให้ไหลสะพัดในเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ผล

ปี 2011 หลังจากผู้นำคนใหม่ออกนโยบายจะยกเลิกฐานทัพในโอกินาว่าและไม่เดินตามอเมริกา ก็ทำให้เกิดสึนามิแบบที่น่าสงสัยว่าเป็นของมนุษย์สร้างขึ้นหรือไม่ ทำให้เงินขาดอย่างมาก สินค้าการเกษตรที่เคยขายได้ ก็ไม่มีใครซื้อเพราะกลัวปนเปื้อนกัมมันตรังสี ทำให้ต้องเปิดตลาดยกเลิกไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับบางประเทศที่ต้องการเดินทางมาทำธุระหรือท่องเที่ยวในญี่ปุ่นระยะสั้น เพื่อดึงดูดเงินคนนอกประเทศเหล่านั้นเพื่อจะมากระตุ้นการจับจ่ายของคนในประเทศ รวมทั้งไทยของเรา

นอกจากนั้นยังไม่พอ ยังมีการเปิดตลาดต้องการเงินนอกประเทศอีก เช่นเรื่องการกีฬา โดยจะมีการดึงนักเตะดังๆเก่งๆของประเทศในย่านอาเซี่ยน เช่นตอนนี้ เจ ชนาธิป ก็ไปเล่นให้คอนซาโดเล่ ซัปโปโร และกำลังจะตามมาด้วยธีรศิลป์ แดงดา ก็เพื่อต้องการขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดและผลประโยชน์ต่างๆของญี่ปุ่นมาให้ไทยและประเทศอาเซี่ยนอื่นๆ เพื่อดึงเงินนอก ที่เปรียบเหมือนการดึงเลือดจากอาเซี่ยนไปช่วยประเทศที่เลือดทางการเงินน้อยอย่างญี่ปุ่นให้มีชีวิตรอดต่อไป

การที่จีดีพีต่ำกว่าหนี้สาธารณะนั้น ทำให้ภาพโดยทั่วไป ประเทศญี่ปุ่นเหมือนคนที่เงินเดือนไม่ขึ้นมาเกือบสี่สิบปี ยกเว้นภาคธุรกิจ เงินเฟ้อติดลบ เงินไม่ไหลเวียน คนไม่กล้าจับจ่าย ต่างมุ่งเก็บเงินไว้กับตัว จนแม้รัฐบาลจะบีบทำให้การฝากเงินมีอัตราดอกเบี้ยติดลบ คนก็ยังไม่จับจ่ายแต่ไปซื้อตู้เซฟมาเก็บเงินหรือไปลงทุนซื้อทองคำแทน

และล่าสุดรัฐบาลก็ออกมายอมรับการใช้ “บิตคอยน์” เป็นเรื่องถูกกฎหมายแล้ว เพื่อต้องการให้คนมาซื้อของจับจ่ายมากขึ้นทั้งๆนักการเงินหลายคนมองว่า บิตคอยน์คือ “แชร์ลูกโซ่ขนาดใหญ่ลูกใหม่” ที่กำลังจะระเบิด รัฐบาลญี่ปุ่นก็ไม่สนใจ ขณะที่เกาหลีใต้ห้ามซื้อในตลาดล่วงหน้าแล้ว ส่วนจีนนั้นห้ามมานานแล้ว

เพิ่งปีนี้ หลังจากมาตรการผ่อนปรนเรื่องการเข้าประเทศของประเทศในอาเซี่ยนและการดึงเงินจากเพื่อนบ้าน เพิ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นดีขึ้นมาบ้างในปี 2017 นี้เอง

ปัญหาเรื่องการเงินของญี่ปุ่นจึงเป็นมะเร็งร้ายมานาน และนาสนใจว่าจะมีทางแก้ไข หรือจุดจบอย่างไร ?

https://en.wikipedia.org/wiki/Lost_Decade_(Japan) 
https://tradingeconomics.com/japan/interest-rate 


เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"