เมื่อเร็วๆนี้ แวดวงการเงินระหว่างประเทศทางซีกโลกตะวันตก ได้เล็งเห็นวิกฤตทางการเงินที่ค่อยๆ ก่อตัวในเชิงของ “สงครามเย็น” หรือพูดง่ายๆ ก็คือการใช้เงินเป็นอาวุธในการทำลายล้างเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง
ซึ่งวิธีนี้สามารถสร้างความย่อยยับได้มากกว่าการใช้อาวุธชีวภาพในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 อีกด้วย
สงครามการเงินส่งผลให้หลายประเทศต้องปรับนโยบายเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด เพื่อให้พร้อมรับมือกับวิกฤตทางการเงินที่กำลังก่อตัวขึ้น
เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ญี่ปุ่นปรับนโยบายทางการเงิน ตั้งเป้าจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ ที่ 0% เพื่อช่วยให้ต้นทุนกู้ยืมของภาคธุรกิจอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง
และเมื่อเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว ธนาคารกลางยุโรปขยายมาตรการ QE อีก 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยติดลบมากขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ออกแถลงการณ์ผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ว่า คณะกรรมการฯ มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น การปรับตัวเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุชี้ชัดว่าเกมการเงิน ของชาติตะวันตก ยุโรป สหรัฐและชาติตะวันออกอย่าง ญี่ปุ่น ได้นำไปแล้ว 1 แต้ม
ทำไมธนาคารแห่งชาติของประเทศมหาอำนาจต้องทำสงครามเย็นทางการเงิน? สรุปสาเหตุได้ 3 ข้อดังนี้
1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่สู้ดีนัก และเป็นไปอย่างไม่เท่าเทียมกัน บวกกับทรัพยากรทางการเงินคงเหลือน้อยลง
2. ยุโรป ญี่ปุ่น ไม่กล้าดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอีก เพราะการทำ QE ของสหรัฐฯก็สร้างผลเสียไว้เยอะ และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว สหรัฐฯ อาจดำเนินนโยบายการเงินแบบหดตัว ตอนนี้หากยุโรปหรือญี่ปุ่นทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณก็เท่ากับว่าจะขัดแย้งกับสหรัฐฯ
3. การซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางของประเทศใดประเทศหนึ่ง สามารถทำได้อย่างเปิดเผย ซึ่งสิ่งนี้จะค่อยๆส่งผลต่อค่าเงินของประเทศนั้นๆอย่างมีนัยแอบแฝง ดังที่ญี่ปุ่นเริ่มเพิ่งจะมารู้ตัวว่าตอนนี้หนี้ที่ถืออยู่นั้นคิดเป็นร้อยละ40ของหนี้สินทั้งหมดของประเทศแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้น “สงครามการเงิน” จะเป็นอย่างไรต่อไปและจะพัฒนาจนกลายเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 3 “ ต่อไปหรือไม่? คงต้องรอดูและติดตามข่าว
China Xinhua News
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman