ทุกๆประเทศมีอิสรภาพในการบริหารงบประมาณและนโยบายการเงินของตนเอง ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลมีเสรีในการใช้จ่ายโดยไม่จำต้องอิงกับรายรับเสมอไป ...เพียงแต่มันอาจถูกจำกัดจากเงินเฟ้อ
สาวกของทฤษฎี MMT เชื่อกันว่าหนี้ (red ink) ของรัฐ เป็นทรัพย์สิน (black ink) ของคนอื่น ..แน่นอนว่าหนี้รัฐคือสกุลเงินที่รัฐบาลจะพิมพ์ออกมาใช้จ่ายได้ตามต้องการแต่ผู้เดียว ..ไม่เพียงแค่นั้น สกุลเงินที่เพิ่มขึ้นมาย่อมมีส่วนสำคัญต่อการบริหารเศรษฐกิจของชาติได้อีกด้วย
นี่คือแนวทางปฏิบัติของ MMT
--รัฐบาลไม่มีวันล้มละลายจากการเป็นหนี้ได้เลย เพราะรัฐบาลไม่เป็นหนี้จากการกู้ยืมเป็นเงินสกุลอื่นๆ
--รัฐบาลสามารถเพิ่มเงินได้ตามต้องการ เพียงแค่คีย์ตัวเลขบนคีย์บอร์ด เข้าบัญชีฝั่งรับ (เหมือนกับที่ Fed ทำอยู่ตอนนี้)
--รัฐบาลสามารถจ่ายเงินได้ทุกๆกรณีที่ต้องจ่าย
--รัฐบาลสามารถซื้อของได้ทุกอย่างที่มีผู้ขายให้
--รัฐบาลจ้างคนทำงานได้ทุกตำแหน่งที่จะจ้างได้
--รัฐบาลอาจต้องพบกับข้อจำกัดเพียงแค่สองอย่าง คือ: เงื่อนไขทางการเมือง และอัตราว่างงานเป็นศูนย์ ที่ทุกๆคนมีงานทำ (ที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อได้)
--รัฐบาลสามารถใช้จ่ายไปได้จนกระทั่งเข้าแซงหน้าภาคเอกชนมาก..จนเกิดการได้เปรียบในการจัดสรรทรัพยากร
Professor Stephanie Kelton แห่ง Stony Brook University กล่าวว่า มันจะไม่เป็นธรรม ถ้าอำนาจนี้ไม่ถูกนำไปใช้เพื่อแก้ปัญหาของสังคม
ทั้งหมดนี้มันฟังดูเป็นสังคมนิยมไปหน่อย ..แต่ MMT ก็ไม่ใช่สังคมนิยม..ไม่มีการรีดภาษีคนรวยเพื่อมาแจกจ่ายกับคนจน ..พวก MMT'ers เชื่อว่าระบบเศรษฐกิจแบบเดิมๆที่เป็นอยู่ และความคิดของนักการเมืองเกี่ยวกับ money เป็นเรื่องผิดมาตลอด
ฟังดูเหมือนบ้าไปหน่อยถ้ารัฐบาลจะคิดว่าไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องขาดดุลงบฯ หรือการเป็นหนี้ ...เพราะมันไม่เมคเซนส์ ...แต่นี่ก็คืออีกแนวทางการเงินอีกอย่างหนึ่งที่ควรมาลองคิดกันดู
ถ้าการบริหารเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ...เช่นรัฐบาลใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานน้อยเกินไป จนไม่ทำให้เกิดประโยชน์เต็มที่ในการเพิ่ม GDP ของประเทศ ..ซึ่งพวก MMT'ers บอกว่าจะเป็นอันตรายต่อประสิทธิภาพการเพิ่มผลผลิตของอนาคตได้ ...เป็นการเสียประโยชน์ของชาติเพียงเพราะรัฐบาลต้องมากังวลเรื่องการต้องใช้หนี้ ..ในขณะที่รัฐบาลเองก็อยู่ในฐานะที่จะพิมพ์เงินขึ้นมาเองได้ง่ายๆ
แต่ ! ....นั่นมันจะทำให้เกิดเงินเฟ้อนะ ...ใช่เลย.. นั่นละคือประเด็น ...MMT'ers เชื่อว่าเงินเฟ้อนี่แหละจะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องเผชิญ
ลองมองย้อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐหลังจากเกิด Great Financial Crisis ..และดูว่า MMT จะเข้ามาเปลี่ยนสมการนี้ได้ยังไง...
--เมื่อปี 2007 สหรัฐดูเหมือนจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของ Minsky's Moment ..เมื่อไม่มีเงินใหม่มาให้ใช้ช่วยพยุงตัวไต่เส้นลวดได้อีก ..และเมื่อสลักตัวสุดท้ายของเกมตึกถล่ม (Jenga Puzzle) ถูกชักออกไป ....ทุกอย่างก็เริ่มจะพังถล่มลงมา....
--ถึงจุดนั้น ระบบเครดิตของเอกชนทั้งหลายก็เริ่มฝืดเคือง เกิดการพังทลายลงเป็นลูกโซ่ ที่อาจนำไปสู่การรีเซ็ทของทั้งระบบเอาได้ง่ายๆเลย ...ซึ่งมันก็คงจะเจ็บน่าดู
--ทีนี้มันก็เห็นได้ชัด ว่ารัฐบาลหมดมุขเดินหน้าต่อ ..แถมยังปล่อยให้รีเซ็ทก็ไม่ได้ เราจึงได้เห็นเงินจำนวนมหาศาลไหลเข้ามท่วมระบบที่เรียกว่า Quantitative Easing (QE) ..ท่ามกลางเสียงประท้วงจากอิลิทเศรษฐกิจที่บอกว่านี่มันจะทำให้เกิดเงินเฟ้อนะโว้ย
--แต่ที่ทำให้ทุกคนแปลกใจคือ มันเกือบไม่เกิดเงินเฟ้อระดับชาวบ้านเลย ..มันไปทำให้เกิดเงินเฟ้อกับราคาทรัพย์สินทางการเงิน ..ราคาเพิ่มขึ้นจากการที่อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลง ..แต่อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่รับค่าแรงทั่วๆไปก็ไม่ได้รับอานิสงส์ จากประโยชน์ของเงินฟรีของ Fed ครั้งนี้เลย
คุณๆอาจคิดว่า ไอ้นโยบายลดภาษีเพื่อช่วยธุรกิจเอกชนดีที่สุดในระบบเศรษฐกิจแล้วน่ะสิ เปล่าเลย ...และลมก็กำลังจะเปลี่ยนทิศจากแนวคิดเดิมเมื่ออารมณ์ของสังคมเปลี่ยนไป..และสิ่งที่ Stephanie Kelton กล่าวไว้เริ่มจะมีผู้สนใจตามมากขึ้นแล้ว
สาธารณชนตื่นแล้วจากความจริงที่ว่า ซัพพลายของเงินจำนวนมากที่เข้าท่วมระบบไม่ได้ช่วยอะไรตามที่สัญญาไว้เลย ที่อ้างว่าเพื่อเข้ามากระตุ้น แต่มันกลับทำให้คนที่รวยอยู่ก่อน รวยเพิ่มขึ้นอีก ...แต่ MMT ก็เป็นดังนิยาย ที่ตั้งความหวังไว้สูง ค่อนข้างจะน่ากลัว แต่คนรุ่นใหม่ไม่กลัวที่จะลองของใหม่ ...พวกเขาก็เห็นแล้วว่าระบบที่เป็นอยู่มันไม่เวิร์ค เกือบสิ้นหวังจนต้องหาทางเลือกใหม่ ...ซึ่งก็คือ MMT นี่แหละ
แล้วมันมีความหมายต่อ portfolio ของเรายังไงล่ะ
ผมเองก็มีความกังวลว่า MMT จะทำให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรวดเร็ว จนรัฐบาลต้องบังคับตัวเองให้ลดการใช้จ่ายลง ดังนั้น:
--ผมคาดว่า ผลตอบแทนที่ตายตัวจะเป็นผลที่เลวร้ายของการลงทุน เพราะเงินเฟ้อจะเป็นตัวเสี่ยงที่แท้จริง ต่อให้รัฐบาลกำหนดอัตราไว้ต่ำก็เถอะ ..คงไม่ฉลาดนักที่จะนั่งทับอยู่กับทรัพย์สินที่จ่ายผลตอบแทนตายตัวอยู่ตลอดเวลา
--สำหรับผมแล้ว ..MMT คือการชี้ทางให้ผมรีบซื้อทรัพย์สินที่ให้ดอกผล..เร็วที่สุดที่จะทำได้...
Cr.Sayan Rujiramora
----------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/