มันไปทำให้ธุรกิจลงทุนในทรัพย์สินทุนมากเกินไป โดยใช้เงินกู้ที่ต้นทุนถูกมาก นี่คือการจัดสรรการลงทุนที่ผิด เพราะในที่สุดอัตราดอกเบี้ยก็จะต้องขึ้นจนได้ ..การลงทุนเหล่านี้ก็ดูจะไม่คุ้ม นอกจากนี้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ จะทำให้ประชาชนทั่วไปเริ่มเป็นหนี้
ทั้งจากการจำนองและการเป็นหนี้ส่วนบุคคล ..ตราบใดที่อัตราดอกเบี้ยยังต่ำอยู่ พวกเขาก็ยังสามารถผ่อนจ่ายคืนหนี้อยู่ได้ และรักษาภาพลวงตาว่ายังคงเป็นลูกหนี้ดี
แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนไป ดอกเบี้ยเงินกู้ปรับสูงขึ้น พวกเขาจะเริ่มหมดความสามารถชำระคืน ในที่สุดก็จะเป็นหนี้เสีย
ฟองสบู่จะโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเงินต้นทุนถูกๆไหลเข้าท่วมในทรัพย์สิน ...ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะให้ผลตรงข้าม มันจะทำให้ฟองสบู่ราคาระเบิดไปเลย
การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เกือบทุกครั้งคือการทำให้เกิดวิกฤติ มันมักจะเริ่มที่ต่างประเทศก่อน แล้วลามกลับมาที่ตลาดสหรัฐในที่สุด .....16 ใน 19 ครั้งของซี่รี่ส์การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ..จะต้องมีวิกฤติที่มาทุบตลาดหุ้นอย่างแรงตามมาด้วย คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ 84% ....(ตามชาร์ทแสดงให้เห็นถึงบางส่วน)
2018 ปีแห่ง "Everything Bubble"
อย่างที่เราเคยรู้ๆอยู่ Fed แก้ปัญหาวิกฤติการเงินปี 2008 ..โดยการเพิ่มเงินเข้าระบบด้วยจำนวนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ..พิมพ์เงินนับเป็นล้านล้านดอลล่าร์ แต่ตั้งชื่อโครงการให้น่าฟังว่า การผ่อนคลายเชิงปริมาณ Quantitative Easing QE 1,2,และ 3
ขณะเดียวกัน Fed ก็กดให้อัตราดอกเบี้ยลงจนเหลือ 0% ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐเลย ..แล้วก็อ้างเองว่าเพื่อช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ความจริง มันกลับเป็นการบิดเบือน และทำให้การจัดสรรเงินทุนผิดเพี้ยนไปหมด ...เงินทั้งหมดนี้จะต้องถูกกวาดจนเกลี้ยงในที่สุด...
พูดอีกอย่างคือ Fed แก้ปัญหาวิกฤติ..โดยการสร้างวิกฤติที่ใหญ่กว่าขึ้นมา
เงินนับล้านล้านดอลล่าร์ที่ Fed "พิมพ์" ขึ้นมา ไม่ใช่แค่สร้างฟองสบู่ให้กับราคาบ้านและฟองสบู่เทคโนฯเท่านั้น แต่เป็นไปหมดทุกอย่าง ที่เรียกว่า ..everything bubble
Fed ใช้นโยบายดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 2008 จนมาถึงเดือนธันวาคม 2015 เกือบๆ เจ็ดปี ....ราคาบ้านถูกปั่นเป็นฟองสบู่ก็เพราะดอกเบี้ยแค่ 1% อยู่ถึง 2 ปี ..ทำให้บอกไม่ถูกเลย..ว่าด้วยดอกเบี้ยต่ำขนาดนี้ เศรษฐกิจถูกบิดเบือนจนเพี้ยนไปแค่ไหนแล้ว
ตั้งแต่ธันวาคม 2015 Fed มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วหลายครั้ง ประมาณ 0.25% ต่อไตรมาส ...ซึ่งในไม่ช้า วงจรการขึ้นดอกเบี้ยแบบนี้มันก็ต้องไปเจาะเอา everything bubble ให้ระเบิดจนได้ ..เราจะได้เห็นสัญญานเตือนต่างๆถึงเรื่องฟองสบู่ระเบิดที่จะเกิดแน่ๆ..ดังนี้
Warning Sign No.1 --Emerging Markets Are Flashing Red
สัญญานที่ 1 --กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่กำลังส่งสัญญานอันตราย
เมื่อตอนต้นปี ค่าเงินลีร่าของเตอรกีตกไปถึง 40% ..เงินเปโซของอาร์เจนติน่าก็เกิดอาการพอๆกัน .....วิกฤติค่าเงินแบบนี้เป็นตัวชี้ว่าวิกฤติคล้ายกันนี้จะต้องเข้ามาสู่สหรัฐจนได้ ก็เหมือนกับกรณีของวิกฤติการเงินในเอเซียที่ลามถึงรัสเซียจนต้องพักชำระหนี้เมื่อปลายช่วงปี 90s นั่นแหละ
Warning Sign No.2 --Unsustainable Economic Expansion
สัญญานที่ 2 --การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไร้เสถียรภาพ
เงินต้นทุนต่ำนับล้านล้านดอลล่าร์ ไปทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยาวนานมาก โดยวัดจาก GDP ..ซึ่งถ้ามันยาวนานได้ถึง กรกฎาคม 2019 แล้วล่ะก็ นี่จะเป็นครั้งที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐเลย
Warning Sign No.3 --The Longest Bull Market Yet
สัญญานที่ 3 --ตลาดกระทิงที่ยาวนานมาก
เมื่อตอนต้นปี ตลาดหุ้นสหรัฐทำลายสถิติตลาดกระทิง all-time longest ในประวัติศาสตร์ ตลาดพุ่งขึ้นสูงตลอดช่วงสิบปี โดยราคาไม่เคยตกเกิน 20% เลย ...และในเวลาเดียวกัน มูลค่าตลาดก็อยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาตลอด
CAPE ratio ..(p/e เฉลี่ย 10 ปี) ของหุ้น S&P 500 สูงสุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ (p/e สูงหมายถึงหุ้นราคาแพง) สูงที่สุดเมื่อครั้งก่อนฟองสบู่ดอทคอมจะแตก
ทุกครั้งที่มูลค่าตลาดมาถึงระดับสูงขนาดนี้ ..มักจะต้องแครชทุกครั้ง
Preparing for the Pop .....เตรียมตัวรับการระเบิด
เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของสหรัฐ เลยเวลาที่จะต้องพังไปนานแล้ว ถ้าคิดตามมาตรฐานจากประวัติศาสตร์ ..ไม่ว่า Fed จะทำหรือไม่ทำยังไงก็ตาม
นักลงทุนควรจะต้องเตรียมตัวกันได้แล้ว ทางหนึ่งก็คือเตรียมทำช้อร์ตไว้ได้เลย ลองคิดดู Fed ได้มีการลากยาวเศรษฐกิจของสหรัฐมาได้ยาวนานกว่าที่เคยทำไว้เมื่อยุค 1920s ..นานกว่ายุคดอทคอมหรือยุคฟองสบู่ตลาดบ้านเมื่อคราวซับไพร์ม หรือยุคใดๆในประวัติศาสตร์ ...การแครชครั้งต่อไปนี้ ย่อมต้องรุนแรงมากกว่าทุกครั้งแน่นอน.....
Cr.Sayan Rujiramora
สนับสนุนข่าวโดย ICMarkets
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/