วิกฤติ'ธนาคารกลางอินเดีย'

ผมขอพูดสั้นๆ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง Midterm Election ของสหรัฐว่า สาเหตุที่รีพับลิกันมีที่นั่งในสภาล่างน้อยลง เนื่องจากกลุ่มคนอเมริกันที่มีรายได้ต่ำสุด เลือกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ น้อยลง เพราะ Trade War คือปัจจัยที่ส่งผลเสียต่อประชาชนในมลรัฐ

ที่เน้นเกษตรกรรม ซึ่งคนเหล่านี้เคยโหวตให้รีพับลิกันเมื่อ 2 ปีก่อน กล่าวคือทรัมป์มีจุดอ่อนเหมือนกัน แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะดีมาก ณ ตอนนี้ และจุดอ่อนที่ว่าก็สะท้อนผลการเลือกตั้งในครั้งนี้

ส่วน Trade War นั้น ต่อจากนี้ไปคงน่าจะไม่ลดลงจากปัจจัย เสียงเดโมแครตในสภาล่างเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้ไพ่ที่ทรัมป์เลือกจะเล่นได้มีน้อยลง จากเสียงในสภาที่แตก และ Trade War กลายเป็นไพ่ที่ทรัมป์เหลืออยู่โดยไม่ต้องพึ่งพาเสียงในสภา

ส่วนเรื่องที่ผมขอเขียนถึงในวันนี้ ถือว่าดุเดือดมากกว่าและมีผล ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของอินเดียเป็นอย่างมาก ผมขอเรียกว่าเป็น "วิกฤติธนาคารกลางอินเดีย"

โดยปกติ ธนาคารกลางจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินต่างๆ โดยไม่ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นใด ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เราคงได้ยินว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บ่นแบบดังๆ ต่อว่า เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ไม่ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วจนเกินไป ซึ่งหลายคนมองว่าแรงแล้ว

แต่หากท่านได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างธนาคารกลางอินเดียและรัฐบาล จะมองว่าคู่ทรัมป์กับพาวเวลเป็นเรื่อง เด็กๆ โดยผู้ว่าธนาคารกลางอินเดีย เออร์จิต พาเทล ถึงขนาดส่อเค้า ว่าจะลาออก โดยเรื่องราวที่ส่งผลต่อนำมาซึ่งการตัดสินใจดังกล่าว มีดังนี้

1.รัฐบาลอินเดียมีความพยายามที่จะบั่นทอนความสามารถของธนาคารกลางอินเดียในการดำเนินนโยบายใดก็ตาม ที่จะเป็นผลเสียต่อ รัฐบาลในระยะสั้นผ่านการล็อบบี้ในสภา แม้นโยบายนี้ให้ผลดีต่อสังคมโดยรวม แทนที่รัฐบาลจะไปสนใจลงทุนในกิจกรรมที่จะก่อให้เกิด มูลค่าเพิ่มและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งยิ่งระบบนี้เป็นที่ ประจักษ์ต่อสาธารณชนมากเท่าไร คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ก็ยิ่ง ไม่อยากที่จะเข้ามาทำงานในธนาคารกลางอินเดีย ซึ่งก็ยิ่งทำให้ระบบ การเงินและการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับมหภาคของอินเดียโดยรวม ยิ่งเติบโตได้ยากขึ้น โดยผู้ว่าแบงก์ชาติอินเดียย้ำว่า รัฐบาลมาประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็จากไป ทว่าธนาคารกลางอินเดียนั้นอยู่คู่กับประเทศมานานแสนนานแล้ว

2.เมื่อรัฐบาลอินเดียสามารถที่จะกันไม่ให้ธนาคารกลาง อินเดียดำเนินนโยบายที่ดีต่อสังคมทว่ามีผลเสียต่อรัฐบาล "ความเสี่ยง เชิงระบบ" ย่อมสามารถหลุดรอดสายตาการกำกับของธนาคารกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่าน Shadow Banking ที่แบงก์ชาติไม่สามารถกำกับได้โดยตรง แม้ผลประโยชน์จะไปตกที่กลุ่มผลประโยชน์ในหมู่คนเพียงไม่กี่คน ทว่าเป็นภาระต่อคนรุ่นต่อๆ ไป ในรูปแบบของความอ่อนแอทางการเงินที่มิได้มีการคานอำนาจที่เหมาะสม

3.การกำกับสถาบันการเงินในอินเดียมีลักษณะที่ใกล้เคียง กับของไทย นั่นคือแบงก์ชาติมีอำนาจอย่างค่อนข้างเต็มที่ในการ กำกับแบงก์พาณิชย์ ตั้งแต่การขายสินทรัพย์หากแบงก์เกิดเจ๊ง ขึ้นมา การปรับเปลี่ยนผู้บริหารและคณะกรรมการหากจำเป็นต้องทำ เพื่อเสถียรภาพของระบบการเงิน การยกเลิกใบอนุญาต และการ ควบรวมหรือขายกิจการหากจำเป็นต้องทำ ทว่าสำหรับสถาบันการเงินในระบบราชการหรือรัฐวิสาหกิจนั้น ธนาคารกลางอินเดียนั้นมีบทบาทที่จำกัดมาก ซึ่งสถาบันการเงินของรัฐหลายแห่งในอินเดียจึงมีปัญหาที่ ถือว่ารุนแรงแล้วไม่สามารถแก้ไขได้เป็นระยะเวลายาวนานด้วยเหตุผลดังกล่าว

4.สิ่งที่เป็นไฮไลต์ซึ่งทำให้เกิดวิกฤติธนาคารกลางอินเดียในตอนนี้คือ การที่รัฐบาลอินเดียมีแผนที่จะนำสำรองในงบดุลของแบงก์ชาติอินเดียไปชำระหนี้สินของรัฐบาล ทำให้นายพาเทลมองว่ารัฐบาลได้บั่นทอนความเป็นอิสระของธนาคารกลางอินเดีย โดยมีการระบุว่ารัฐบาลเตรียมออกกฎหมายเพื่อถ่ายโอนสำรองของแบงก์ชาติอินเดีย มูลค่า 3.6 ล้านล้านรูปี ไปยังมือของรัฐบาล

โดยแบงก์ชาติอินเดียออกแถลงการณ์ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ด้วย 4 เหตุผล ดังนี้

1.ไม่ว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตรเอง หรือใช้สำรองของธนาคารกลางอินเดีย ผลลัพธ์ต่อสถานการณ์การคลังของอินเดียก็ออกมา ในรูปแบบเดียวกัน ในระยะยาวการใช้สำรองของแบงก์ชาติอินเดีย ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ใดๆ ให้รัฐบาล เพียงเป็นแค่ภาพลวงตาของการได้เม็ดเงินให้เปล่าในระยะสั้น

2.การถ่ายโอนดังกล่าวจะเป็นการลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอินเดียต่อความตั้งใจที่จะดำเนินการนโยบายการคลังที่เหมาะสม

3.แม้ในทางทฤษฎีธนาคารกลางอินเดียจะสามารถดำเนินนโยบายการเงินได้ดีเท่าเทียมกัน ไม่ว่าระดับเงินกองทุนจะมีมากน้อยเพียงใด ทว่าในทางปฏิบัติหากแบงก์ชาติมีเงินกองทุนอยู่น้อย ตลาดจะให้ความเชื่อถือต่อนโยบายที่ปฏิบัติน้อยมาก

4.โอกาสที่รัฐบาลจะเสริมความแข็งแกร่งเงินกองทุนในอนาคตให้กับแบงก์ชาติอินเดีย ในทางการเมือง มีอยู่ต่ำมาก ท้ายสุด ความพยายามล่าสุดของทางการอินเดียที่จะขจัดอำนาจของธนาคารกลางอินเดียในการดูแลระบบการจ่ายเงิน และ Settlement ของการ ชำระเงิน ด้วยการแต่งตั้งผู้กำกับระบบการชำระเงินออกมาอีก หน่วยงานต่างหาก โดยธนาคารกลางอินเดียได้ยื่นหนังสือคัดค้านความพยายามดังกล่าวอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา

ในเชิงโครงสร้างแล้ว แบงก์ชาติอินเดียถือว่ามีประเด็นทางการเมืองกับรัฐบาลมาอย่างยาวนาน ถ้ายังจำกันได้ รากูราม ราจาน นักวิชาการชื่อดังก็เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติอินเดียได้เพียง 1 สมัย ก็ออกไปแบบที่น่าจะมีความเห็นขัดแย้งกับผู้นำอินเดียเช่นกัน

คอลัมน์ มุมคิดธนกิจ: ผศ.ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

คลิก

เพิ่มเติม
- Independence and accountability: on RBI :

คลิก

- India central bank governor could resign on Nov 19: Report:

คลิก

Cr.Bank of Thailand Scholarship Students

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"