หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งในกรอบรอปัจจัยใหม่ จีดีพีสหรัฐต่ำคาดเฟดอาจชะลอลดดอกเบี้ย-เลือกตั้งสหรัฐกดดัน

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่ายังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่ที่จะสนับสนุนตลาดให้ปรับตัวขึ้น โดยรายงานจีดีพีไตรมาส 3/67 ของสหรัฐเมื่อคืนนี้ขยายตัวเพียง 2.8% ต่ำกว่าคาด

แม้ว่าการจ้างงานภาคเอกชนและการบริโภคยังสูง ทำให้เกิดความคาดการณ์ว่าเฟดอาจชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เกิดแรงกดดันต่อการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทย

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะมาถึงในสัปดาห์หน้า เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดยังคงไม่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบ

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย คาดแนวต้านอยู่ที่ 1,460 จุด และแนวรับที่ 1,440 จุด

ประเด็นการลงทุนที่ควรพิจารณา:

  1. ตลาดหุ้นสหรัฐ: ดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ปิดลบ โดยดาวโจนส์ลดลง -0.22%, S&P500 ลดลง -0.33% และ Nasdaq ลดลง -0.56% สะท้อนความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัวและมีแนวโน้มปรับขึ้นอีกในอนาคต

  2. ตลาดหุ้นเอเชีย: ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดลบเล็กน้อย ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้เปิดในแดนบวก ชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของตลาดในภูมิภาคที่ยังคงเคลื่อนไหวสลับทิศทางจากแรงกดดันของตลาดโลก

  3. ตลาดหุ้นไทย: ปิดล่าสุดที่ 1,447.20 จุด ลดลง -0.27% มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างต่ำ โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิถึง 4,254.11 ล้านบาท เป็นสัญญาณของแรงกดดันที่อาจทำให้ตลาดยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ

  4. ราคาน้ำมันดิบ: WTI เพิ่มขึ้น 2.08% ปิดที่ 68.61 ดอลลาร์/บาร์เรล การปรับขึ้นนี้สะท้อนถึงความกังวลต่อการจัดหาในอนาคต ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง

  5. ค่าเงินบาท: เปิดตลาดที่ 33.79 บาทต่อดอลลาร์ มีแนวโน้ม Sideway อ่อนค่า นักลงทุนยังคงจับตาการประชุม BOJ และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะมาถึง

  6. เศรษฐกิจไทยและนโยบายรัฐ: รัฐบาลมีแผนเร่งผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น แลนด์บริดจ์ในเขตอีอีซี และรถไฟเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดหย่อนภาษีที่คาดว่าจะออกมาเร็วๆ นี้ จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

  7. หนี้ครัวเรือน: รองนายกฯ และรมว.คลัง เร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยมีแผนให้ลดเงินนำส่ง FIDF และคาดหวังว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนได้

  8. ราคาทองคำ: ทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2,782 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 45,050 บาทต่อน้ำหนักบาทไทย โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจสหรัฐและสงครามตะวันออกกลาง การเลือกตั้งสหรัฐที่ใกล้เข้ามาทำให้นักลงทุนถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย วายแอลจีฯ และบล.ดาโอ ประเมินราคาทองคำปลายปีอาจแตะ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

  9. ดัชนีการผลิตอุตสาหกรรม (MPI): MPI เดือน ก.ย. 2567 หดตัว 3.51% ซึ่งกดดัน GDP ไตรมาส 3 ลดลง 1.23% การผลิตที่ลดลงนี้ชี้ถึงความท้าทายที่ยังคงอยู่ในภาคอุตสาหกรรม

หุ้นเด่นวันนี้

  1. CPALL (ลิเบอเรเตอร์) – แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 80 บาท

    • แนวโน้มไตรมาส 3/2567 ของ CPALL คาดว่าจะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (y-y) แต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (q-q) ตามฤดูกาล
    • อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) คาดว่าจะอยู่ที่ +2.5% ซึ่งสูงกว่ากลุ่มค้าปลีกทั่วไป โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคที่ขยายตัวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
    • แนวโน้มไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะเติบโตทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
  2. AOT (คิงส์ฟอร์ด) – แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 67.00 บาท

    • สำหรับไตรมาส 4 ปี 2566/67 (ก.ค.-ก.ย. 2567) คาดว่ากำไรจะลดลง QoQ เนื่องจากเป็นช่วง low season และมีผลกระทบจากการลดรายได้ค่าเช่าพื้นที่ของ King Power
    • เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 1 และ 2 ปี 2567/68 (high season ท่องเที่ยว) คาดว่ากำไรจะกลับมาฟื้นตัว QoQ, YoY จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและการเปิดรันเวย์ที่ 3 ในเดือนพฤศจิกายน 2567
    • คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2567/68 ที่ประมาณ 22,000 ล้านบาท เติบโต +17%YoY ด้วยสมมติฐานจำนวนผู้โดยสารรวมอยู่ที่ 135 ล้านคนและเที่ยวบิน 830,000 เที่ยว
  3. VIH (ฟินันเซียไซรัส) – แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 15 บาท

    • มุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตระยะยาว โดยมีแผนเปิดโรงพยาบาลใหม่ปลายปี 2569 ที่จะเป็น tertiary care ซึ่งจะช่วยยกระดับให้ VIH กลายเป็นโรงพยาบาลเชนที่ใหญ่ขึ้น
    • มีแผนปรับราคาค่าบริการขึ้น 3-7% ในเดือนตุลาคมนี้ และคาดว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2567-68 จะเติบโต +9% และ +14% y-y ตามลำดับ
    • มีสถานะการเงินเป็น net cash ซึ่งเปิดโอกาสในการทำ M&A เพื่อเพิ่มกำไรในอนาคต

คลิก

Cr.สำนักข่าวอินโฟเควสท์

----------------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4yo

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"