จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยความพิเศษของการเลือกตั้งปีนี้ เป็นครั้งแรกที่ชาวรัสเซียสามารถลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า และสามารถเลือกตั้งนอกเขตได้
และวันที่ 18 มีนาคม ก็ยังมีนัยสำคัญเกี่ยวกับการที่ ไครเมียกัลคืนสู่รัสเซียเป็นปีที่ 4 รอบนี้ก็มีผู้สมัครเลือกตั้ง 8 คน ร่วมถึง นายวลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งผลการเลือกตั้งก็เป็นไปตามคาดว่านายปูตินชนะ และรั้งตำแหน่งประธานาธิบดีของรัสเซียสมัยที่ 4 โดยปูตินกวาดคะแนนเสียงไปได้ถึง 73.9% แต่จำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ลดลงเล็กน้อยเหลือ 63.7% นายวลาดิเมียร์ ปูติน ได้ออกมากล่าวถึงชัยชนะครั้งนี้ และแสดงความสัมพันธ์แนบแน่นกับจีน และมุ่งพัฒนาความสัมพันธ์บนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจบนเวทีการเมืองโลก โดยรัสเซียต้องรับแรงกดดันจากประเทศตะวันตก ทั้งสหรัฐอเมริกา และยุโรป เช่น การคว่ำบาตรทางการค้า หลังจากที่รัสเซียผนวกไครเมีย ของยูเครน ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแรงกดดันจากชาติตะวันตกนั้นไม่ได้ทำให้รัสเซียอ่อนแอลงเลย แต่กลับจะทำให้รัสเซียแข็งแกร่งขึ้น จากกรณีคว่ำบาตรทางการค้า รัสเซียหันกลับมากระตุ้นการผลิตและบริโภคภายในประเทศมากขึ้น และมาตรการต่างๆที่ชาติตะวันตกพยามกดดันรัสเซีย ก็ไม่ได้ทำให้ทาทีของรัสเซียอ่อนลงเลย เช่น อังกฤษขับไล่นักการทูตรัสเซีย 23 คน รัสเซียเองก็ตอบโต้กลับโดยการขับไล่นักการทูตอังกฤษ 23 คนเช่นกัน
หากวิเคราะห์ศักยภาพของประเทศรัสเซียแล้ว ต้องบอกว่ารัสเซียเป็นประเทศอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่งด้วยทรัพยากรณ์ธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ถ่านหิน แร่ธาตุ และไม้ อีกทั้งภูมิศาสตร์ใหญ่โต กว้างขวาง ครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชีย และยุโรป ซึ่งเป็นจุดแข็ง เมื่อรวมกับการเมืองที่แข็งแกร่ง ดังเช่น สโลแกนหาเสียของปูตินที่ว่า “ผู้นำที่แข็งแกร่ง รัสเซียที่แข็งแกร่ง” หากรัสเซียจับมือกับจีน อาจเป็นการคานอำนาจบนเวทีโลกที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปอาจต้องหวั่นเกรงมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันจีนพัฒนาเศรษฐกิจจนกลายเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจของโลก ส่วนรัสเซียมีความมั่นคงทางการเมืองและการทหารที่สามารถต่อกรกับสหรัฐฯได้ จีนและรัสเซียอาจมีบทบาทบนเวทีโลกมากขึ้น และอาจจะเพิ่มอุณหภูมิบนของการเมืองโลกมากขึ้นเช่นกัน ดิฉันมีความกังวลเกี่ยวกับการบริหารงานภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าสหรัฐอเมริกา อาจะมีการดำเนินนโยบายที่สร้างความตึงเครียดระหว่างประเทศ ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง และการค้า เช่น การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการ โดยส่วนตัวคาดว่าประเทศที่ได้รับผลกระทบอาจจะมีมาตรการตอบโต้กลับ โดยเฉพาะประเทศจีน
ปลายปีที่แล้วนักลงทุนส่วนใหญ่มองเห็นความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลก และตลาดหุ้นทั่วโลกจะเติบโตอย่างสดใส ในปีพ.ศ. 2561 นี้ แต่ดูเหมือนสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของไตรมาสแรกของทุกภูมิภาค ทั้งสหรัฐอเมริกา, ยุโรป, เอเชีย ฯลฯ แรงผลักดันไดนามิกของปีที่แล้วเริ่มจะแผวลง ตลาดหุ้นเกิดความผันผวนจากทั้งสาเหตุทางเศรษฐกิจและการเมือง บวกกับความกังวลที่จะเกิดสงครามการค้า ดิฉันขอแนะนำให้นักลงทุนทุกท่านเฝ้าติดตามข่าวนโยบายต่างประเทศ นโยบายการค้า ของประเทศใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา, ยุโรป, เยอรมัน, อังกฤษ, ญี่ปุ่น, จีน, อินเดีย, และรัสเซีย อีกทั้งเกาหลีเหนือ ถึงอย่างไรคาดว่าในทุกประเด็นสามารถมีการเจรจาหาทางออกที่จะไม่นำไปสู่ความรุนแรงและสงคราม ซึ่งจะคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย
โดย นิรมล นิตย์นิธิพฤทธิ์ (นักวิเคราะห์การเงิน, Olymp Trade)
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman