ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา คนที่ติดตามข่าวสารการลงทุนคงจะได้รับข้อมูลเกี่ยบกับสกุลเงินดิจิตอล ที่ได้รับการจับตามองจากนักลงทุนทั่วโลก โดยมีเหรียญ BITCOIN ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 และมีมูลค่ามากที่สุด
ซึ่งในช่วงปลายปีที่แล้วมูลค่าเหรียญ Bitcoin นั้นพุ่งสูงถึง 620,000 บาท/เหรียญ แต่ทุกวันนี้มูลค่าของมันถูกลดเหลืออยู่ราว ๆ280,000 บาท/เหรียญเท่านั้น ซึ่งลดลงไปมากเกินเท่าตัว
ข่าวการที่หลายประเทศเช่นในจีนและเกาหลีใต้ประกาศไม่รองรับการใช้เงินสกุลดิจิตอล ทำให้กราฟของ Cryptocurrency ดิ่งลงทั้งแผง มูลค่าร่วงกราว ผู้คนพากันเทขายในช่วงปลายเดือนธันวาคมจนถึงช่วงเดือนมกราคม แต่บางคนที่ติดดอยอยู่ก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น และมองโลกในแง่ดีเอาไว้ก่อนว่าในอนาคตมูลค่ามันอาจเพิ่มสูงขึ้นจนสามารถเทขายทำกำไรได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหลายคนมองว่าสกุลเงินดิจิตอลเปรียบเสมือนฟองสบู่ และถูกตั้งคำถามว่าอะไรคือมูลค่าที่แท้จริงของมัน หากตัดเรื่องของ Demand กับ Supply ออกไป อะไรคือสิ่งที่ทำให้มันมีมูลค่าขึ้นมา ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกมั่นใจได้มากนัก ว่าสุดท้ายแล้วเงินดิจิตอลจะเป็นสกุลเงินที่เราสามารถใช้จ่ายได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
การที่รัฐบาลหลายประเทศประกาศไม่รองรับสกุลเงินนี้ นั่นเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อมูลค่าของ Cryptocurrency และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือความเชื่อมั่นของผู้คนในการใช้เงินสกุลดิจิตอล เราต้องนำเงินสดไปแลกเปลี่ยนเป็น Bitcoin แล้วก็นำเงิน Bitcoin มาแลกเป็นเงินสดเพื่อใช้จ่ายอีกที ฟังดูยุ่งยากแถมเต็มไปด้วยความผันผวนของตัวเลขมูลค่าของมัน ที่แปรผันขึ้นลงอยู่แทบจะตลอดเวลา ผู้คนทั่วไปสามารถนึกภาพออกได้ทันทีว่า วันนี้ซื้อของด้วยสกุลเงินดิจิตอลราคา 0.0097 Bitcoin แต่วันรุ่งขึ้นราคากลับลดเหลือ 0.0053 มันส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชัดเจน เพราะแน่นอนว่าการใช้เงินจริง ๆ ซื้อของในชีวิตประจำวัน มันก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว คงมีแค่ราคาตัวเลขผันผวนในเว็บพนันบอลออนไลน์อย่าง
ที่ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าได้รับผลกระทบเท่าไรนัก
แนวโน้มของ Cryptocurrency ในตอนนี้ แทบไม่เห็นหนทางที่มูลค่าของมันจะพุ่งกลับไปในจุดสูงสุดที่เคยเป็นได้เลย แม้จะผ่านช่วงวิกฤติที่สุดเมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาไปแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยการที่ราคาของมันเริ่มอยู่ตัวที่ตัวเลขหลักแสนต่อเหรียญ ก็ทำให้ยังพอมีความหวังอยู่ลาง ๆ อย่างไรก็ตามเราคงต้องรอกันอีกนานหลายเดือน หรืออาจจะเป็นปีเลยล่ะ ที่มูลค่าของมันอาจกลับมาแบบที่เคยเป็นแล้วพุ่งไปสูงกว่าเดิม