จากถ้อยแถลงของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หลังการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 2.50% เมื่อวานนี้ (27 กันยายน) ทำให้หลายคนพอจะคาดเดาได้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้อาจเป็นจุดสิ้นสุดของ
‘วงจรดอกเบี้ยขาขึ้น’ ในรอบนี้ ธปท. ระบุว่า “อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว” จากสถิติในอดีต นับจากวันที่ ธปท. ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย หุ้นไทยมีโอกาสจะเข้าสู่วงจรขาขึ้นแทนที่อัตราดอกเบี้ย
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ผ่านมา เมื่ออัตราดอกเบี้ยถึงจุดสูงสุด ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่ในไทยเท่านั้น แต่สถิติของดัชนีตลาดหุ้นโลกก็ปรับขึ้นด้วยเช่นกัน หลังธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา
(Fed) ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย
“แต่การหยุดขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ไม่ได้มีผลกับหุ้นไทยเท่ากับนโยบายของแบงก์ชาติ ที่ผ่านมาหลังแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย 1 เดือน หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7% แต่ 1 เดือนหลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุด ผลตอบแทนเฉลี่ยแค่ 0.5% เท่านั้น”
เหตุผลเบื้องหลังต่อปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการที่นักลงทุนผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากที่อยู่กับภาวะตึงเครียดในแง่ของต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น และนโยบายการเงินที่ตึงเครียด
“การส่งสัญญาณจบรอบดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้นักลงทุนเริ่มวางแผนเกี่ยวกับการใช้จ่ายและการลงทุนในอนาคตได้ง่ายมากขึ้น และหากดูจากข้อมูลในอดีตจะเห็นว่า จุดที่อัตราดอกเบี้ยสูงสุดจะเป็นจุดที่ผลตอบแทนในเชิงเปรียบเทียบต่างๆ เช่น Earning Yield Gap หรือ Dividend Yield Gap เป็นจุดที่แย่ที่สุดแล้ว”
ณัฐชาตกล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ สถิติย้อนหลังของช่วง 1 ปีหลังจากการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย จะเห็นว่า 3 ครั้งที่ผ่านมา หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 30% แต่หากหุ้นไทยในรอบนี้จะขึ้นได้แรงเหมือนในอดีต จะต้องมีเงื่อนไขที่ว่าแบงก์ชาติจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้ ซึ่งหากจะเป็นเช่นนั้นเราอาจต้องผ่านวิกฤตอะไรบางอย่าง
“ถ้ายังไม่มีวิกฤตอะไรเกิดขึ้นก็ค่อนข้างยากที่จะเห็นแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย และยากที่จะเห็นหุ้นไทยวิ่งขึ้นได้ถึง 30% แต่สมมติว่าเริ่มมีกลิ่นของ Recession ในไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 ปีหน้า แบงก์ชาติเริ่มลดดอกเบี้ย จากนั้นอาจเห็นการขึ้นแรงในครึ่งปีหลัง”
หากตลาดหุ้นไทยกลับเป็นขาขึ้นได้จริง หุ้นกลุ่มไหนจะเป็นผู้นำ จากสถิติในอดีตยังบอกอีกว่ากลุ่มที่จะโดดเด่นที่สุดคือกลุ่มพาณิชย์ (Commerce) โดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทน 6.5% หลังขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย 1 เดือน และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากถึง 48.1% ในกรอบเวลา 1 ปี
“ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน ถ้าอิงจากสมมติของแบงก์ชาติจะเห็นว่ากลุ่มค้าปลีกโดดเด่นที่สุด แม้จะเห็นการหั่นคาดการณ์ GDP แต่การบริโภคถูกปรับขึ้น อย่างปีนี้ปรับเพิ่มคาดการณ์เติบโตจาก 4.4% มาเป็น 6.1% และปีหน้าก็ปรับเพิ่มคาดการณ์ด้วย จาก 2.9% เป็น 4.6% ส่วนหนึ่งจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวด้วย”
โดยสรุปแล้วณัฐชาตเชื่อว่า ช่วงไตรมาส 4 จะเป็นจุดเปลี่ยนของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกให้กลับมาสดใส จาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. สิ้นสุดวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น 2. เศรษฐกิจภายในประเทศฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้น และ 3. เศรษฐกิจภายนอกยังขยายตัวต่อได้
“ดัชนี SET ที่ต่ำกว่า 1,500 จุด คือโซนซื้อ และรอบนี้ดัชนีจะไม่ทำจุดต่ำใหม่ไปกว่า 1,460 จุดอีกแล้ว เน้นสะสมหุ้นค้าปลีกและส่งออกที่อิงกับเศรษฐกิจโลก”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบโลก ทำให้เงินเฟ้ออาจพุ่งสูงอีกครั้ง
จากถ้อยแถลงของแบงก์ชาติไม่ได้สะท้อนให้เห็นความกังวลต่อราคาน้ำมันมากนัก และสมมติฐานที่ประเมินไว้ในปีนี้อยู่ที่ 83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนปีหน้าเฉลี่ย 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
“ถ้าราคาน้ำมันยังไม่พุ่งไปเกิน 100 ดอลลาร์ เชื่อว่ายังเป็นระดับที่แบงก์ชาติพอรับไหว แต่ถ้าทะลุขึ้นไปเกินกว่านั้นอาจเริ่มหลุดจากสมมติฐานของแบงก์ชาติ”
โดย สกุลชัย เก่งอนันตานนท์
Source: Standard Wealth
Cr.Bank’s Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you