แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีปีไหนที่นักลงทุนในตลาดหุ้นจะได้ครบทุกรสชาติเท่าปี 2563 ทั้งวิตก หวาดกลัว มีความหวัง กล้าเสี่ยง ทำกำไรและขาดทุนมากมาย เพราะเป็นปีที่มีปัจจัยลบระดับโลก “โควิด-19" เป็นความเสี่ยงและโอกาสในเวลาเดียวกันตลอดทั้งปีก็ว่าได้
จากผลดังกล่าวจึงทำให้เกิดที่สุดในตลาดหุ้นปี 2563 ที่โต๊ะข่าวการเงินรวบรวมและวิเคราะห์ตลอดทั้งปี
วิกฤติโควิด -19
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนในช่วงเดือนม.ค. ไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับโลก เพราะทางการจีนสามารถที่จะรับมือและประกาศล็อกดาวน์พื้นที่ “อู่ฮัน” แทบทันที แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งโลกตื่นตะลึง คือการระบาดที่รวดเร็วจากคนสู่คน และทำอัตราต่อระบบทางเดินหายใจจนเกิดการล้มตาย ที่สำคัญไม่มีวัคซีนรักษา
ดังนั้นการแพร่ระบาดที่ข้ามทวีปจากจีนไปยังยุโรป มาเอเชีย สหรัฐ และกลายเป็นทั่วโลก จึงทำให้เป็นที่มาของการใช้มาตรการที่ไม่เห็นเกิดขึ้นในโลกใบนี้ “ล็อกดาวน์ “ จนไปถึง “ปิดประเทศ” หยุดการเดินทาง หยุดกิจกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน และกลายเป็นจุดเปลี่ยนต่อเศรษฐกิจโลกกระทบกันถ้วนหน้า
สินทรัพย์เสี่ยงสะเทือนทั้งโลก
ตลาดหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่รับความผันผวนจาก “วิกฤติโควิด “ ทำให้แพนิก ขายหุ้นทุกราคาเพื่อถือเงินสดรองรับความปลอดภัย โดยดัชนีหลุด 1,500 จุด ตั้งแต่ม.ค.จนปลายเดือนก.พ. ดัชนีหุ้นหลุด 1,400 จุด จากข่าวการแพร่ระบาดหนักในกลุ่มประเทศเอเชีย
กระทั่งเดือนมี.ค. ดัชนีหลุด 1,300 จุด จากนั้นสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสในไทยกลายเป็นพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนทำให้ภายในสัปดาห์เดียวตลาดหุ้นไทยต้องใช้มาตรการหยุดพักการซื้อขาย หรือ Circuit breaker ถึง 2 วันซ้อน
ด้วยดัชนีหลุด 1,200 จุด แม้จะหยุดพักการซื้อขายไปแล้ว 30 นาที ยังร่วงต่อ และถัดมาดัชนีหลุด 1,000 จุด จนต้องใช้ Circuit breaker อีกรอบ จนเป็นที่มาการประชุมของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) ปรับเกณฑ์การขายซอร์ต (short sell) ปรับอัตรา Circuit breaker และราคาซิ่ลลิ่ง ฟลอร์ หุ้นรายตัว หลังจากนั้นตลาดหุ้นเจอแรงแพนิกขายแต่ด้วยเกณฑ์ใหม่ทำให้ลดความเสียหายต่อตลาดหุ้นลดลง
อย่างไรก็ตามเมื่อคลายล็อกดาวน์ และพัฒนาการของวัคซีนเริ่มดีขึ้นตลาดหุ้นจากตลาดหมีกลายเป็นตลาดกระทิงดัชนีหุ้นบวกต่อเนื่องตั้งแต่ ก.ย. จนได้แตะ 1,500 จุด และแม้จะมีการระบาดรอบใหม่ในไทยช่วงท้ายปี หุ้นไทยยังมีแรงซื้อจากต่างชาติเข้ามาต่อเนื่อง
หุ้นแห่งปี
ไม่พูดถึงคงไม่ได้สำหรับตำแหน่งนี้ที่คว้าชัยไปแบบขาดลอย บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ด้วยการสร้างปรากฏการณ์ในตลาดหุ้นยังไม่มีหุ้นไหนทำได้
จากราคาหุ้นสมารถทำราคาหุ้นพุ่งสูงสุด ถูกจุดพลุตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย. การเข้ามาไล่ราคาหุ้น DELTA จากนั้นมีหุ้นในกลุ่มที่มีฟรีโฟลทต่ำถูกจับนำมาเล่นเก็งกำไรรายตัว ซึ่งราคาที่ปรับตัวขึ้นมาสูงต่อเนื่อง และเกินมูลค่าพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ประเมินปี 2564 ไปไกลจึงเห็นการปรับตัวของราคาหุ้นดิ่งลงแรงเช่นเดียวกัน
ราคาสูงสุดที่ 838 บาท (28 ธ.ค.2563) จากวันแรกของปี 2563 ที่ 53.50 บาท เท่ากับราคาปิดปี 2562 เท่ากับราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 1,466% หรือเพิ่มขึ้น 15 เท่า ภายในวันเดียวที่ราคาขึ้นไปสูงสุด 838 บาท ในช่วงเช้าราคาลงมาต่ำของวันเช่นกันที่ 560 บาท และวานนี้ (29 ธ.ค.) ราคาลงมาปิด 438 บาท เท่ากับ 2 วันราคาร่วง 426 บาท หรือ 40% จนแทบไม่เหลือเค้าราคาหุ้นที่บวกทะลุโลกก่อนหน้านี้
160942770559
จุดพลุไอพีโอ
นับตั้งแต่เดือนก.ค. 2563 เป็นต้นมาหุ้น “กู้ชีวิต” “ปลุกชีพ” ไอพีโอ ยกให้ บริษัท ศรีตรัง โกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ที่สร้างอภินิหาร “ถุงมือทองคำ" จากราคาไอพีโอ 34 บาท เปิดราคาสูงสุดที่ 60 บาท และราคาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอยู่ที่ 94 บาท (29 ต.ค.)ในระยะเวลา 3 เดือน
กระแสแรงหุ้นตัวนี้อิงกับโควิด-19 ที่หนุนยอดขายจองคิวข้ามปีไปถึงปี 2565 แล้ว จนทำให้บริษัทสามารถเพิ่มราคาขายได้โดยปริยาย
บริษัทใหญ่ตามมา คือ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPGP เคาะราคาหุ้น 35 บาท ซึ่งกระแสข่าวของหุ้น SCGP แรงพอตัวเพราะเมื่อคำนวณเป็นตัวเลขมาร์เก็ตแคปทะลุแสนล้านบาท ส่งผลทำให้มีโอกาสเข้าสู่ดัชนีเซ็ท 50 และ 100 ปริยาย ซึ่งก่อนหน้านี้มีกองทุนและสถาบันรายใหญ่ บริษัทประกัน ประกาศเข้าซื้อหุ้นเพื่อเป็นผู้ถือหุ้นหลายราย ตามประกาศมีทั้งหมด 18 ราย จำนวน 676 ล้านหุ้น มูลค่า 23,700 ล้านบาท
ถัดมาหุ้นบริษัท เคอรี่ เอ็กเพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เคาะราคาหุ้นที่ 28 บาท ทำราคาขึ้นได้ถึง 64 บาท มีมูลค่ามาร์เก็ตแคป 8 หมื่นกว่าล้าน คับคั่งไปด้วยกองทุนชั้นนำระดับโลกที่เข้ามาซื้อถือหุ้น เพราะถือว่าเป็นดาวเด่นของธุรกิจส่งด่วนครองมาร์เก็ตแชร์อันดับ 2 ที่ 39% รองไปรษณีย์ อยู่ที่ 41% เท่านั้น
ดีลแห่งปี
แทบจะไม่มีคู่แข่งเลยทีเดียวเพราะแค่มูลค่าขายของ ‘เทสโก้โลตัส’ ในไทยและมาเลเซียที่ตกมาอยู่ในมือของกลุ่มซีพีแบบเบ็ดเสร็จสูงถึง 10,576 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 338,445 ล้านบาทเป็นของกลุ่มซีพี โดยมี บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เป็นผู้เข้าทำรายการ และยังเป็นการทุบสถิติการเข้าซื้อแม็คโครของกลุ่มซีพีก่อนหน้านี้อีกด้วย
การซื้อกิจการครั้งนี้ส่งผลทำให้กลุ่มซีพีมีอำนาจเหนือการตลาดในด้านยอดขายหากรวมกับคอนวิเนียน สโตน์ ที่มีอยู่แล้วทั้งเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีจำนวนสาขา 12,000 แห่งและ แคช แคร์ริ่ง อย่าง แม็คโคร ที่มีจำนวนสาขา 130 แห่ง
แม้ว่า เทสโก้ จะเป็น ไฮเปอร์มาร์เก็ต แต่หนีไม่พ้นว่าทำให้กลุ่มซีพีจะมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นในกลุ่มค้าปลีก ด้วยจำนวนสาขาเฉพาะในไทยที่มีกว่า 1,900 สาขา ใน 73 จังหวัด เข้าถึงกลุ่มลูกค้า 15 ล้านคนต่อสัปดาห์ และยังมีสินทรัพย์ประเภทที่ดินทั่วประเทศอีกจำนวนมาก ส่วนเทสโก้ มาเลเซีย สามารถผนึกกำลังกับ แม็คโค ขยายไปยัง 4 ประเทศในอาเซียนและเอเชีย คือ กัมพูชา, อินเดีย, จีน และเมียนมาร์
ดังนั้นจึงเป็นที่มาทำคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ต้องพิจารณาประเด็นดังกล่าวและมีมติเสียงข้างมากให้ควบรวบกิจการได้ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดซึ่งไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงที่กลุ่มซีพีจะทำได้
ธุรกิจเงินสดบานสะพรั่ง
คำว่า “หนี้เสีย” หรือ NPL ได้กลายเป็นความหวาดกลัวของสถาบันการเงินที่ต้องเผชิญการหยุดชำระหนี้ เพราะลูกหนี้ไม่มีรายได้ จนแบงก์ชาติต้องออกมาตรการพักชำระหนี้ และอาศัยช่วงจังหวะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเงินสด บัตรเครดิต ลดลงเพื่อช่วยเหลือประชาชน
ยิ่งมีธนาคารออมสิน กระโดดเข้ามาแข่งในตลาดสินเชื่อทะเบียนรถยิ่งเพิ่มดีกรีการแข่งขันให้ร้อนระอุมากยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อหันมาดูผู้ประกอบการพบว่ามีหน้าใหม่ (ตลาดหุ้น) แต่เก๋าในตลาดเข้าระดมทุนหรือ ไอพีโอ จนทำให้หุ้นในกลุ่มนี้ คึกคักทันที
กรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย ราคาหุ้นของกลุ่มการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-bank ปีนี้ ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนี SET ถึงกว่า 30% และผลประกอบการของธุรกิจการเงินบางรายยังสามารถเติบโตได้ในปี 2563 นี้อีกด้วย เช่น MTC และ SAWAD ที่สามารถสร้างผลกำไรทำสถิติใหม่ในไตรมาส 3/2563 ที่ผ่านมา
การลงทุนในกลุ่มการเงินปี 2564 ทิศทางเชิงบวก และแนะนำว่าหากลงทุนควรมีหุ้นกลุ่มนี้อยู่ในพอร์ต คาดว่าจะได้เห็นสินเชื่อส่วนบุคคลที่เติบโตเร่งตัวขึ้นอีกในปี 2564 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นได้ และความต้องการเงินของประชาชนฐานรากที่ยังสูง ซึ่งสินเชื่อกลุ่มนี้น่าจะสร้างการเติบโตได้ดีกว่า GDP อีกทั้งในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา
ดังนั้นในปี 2564 เมื่อสินเชื่อเริ่มขยายตัวได้ดี รายได้ดอกเบี้ยก็น่าจะเติบโตได้ สวนทางกับต้นทุนที่ลดลง ก็จะทำให้กำไรของกลุ่มการเงินในปี 2564 จะเติบโตได้สูงขึ้นอีกด้วย โดยหุ้นเด่นที่ทางบล.กสิกรไทยแนะนำจะเป็น กลุ่มจำนำทะเบียน MTC (ราคาเป้าหมาย 64 บาท) และ SAWAD (ราคาเป้าหมาย 66.5 บาท) ส่วนกลุ่มบัตรเครดิตเราชอบ AEONTS(ราคาเป้าหมาย 244 บาท)
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you