ความหมายตามวลี "การจัดระเบียบเงินตราโลกใหม่" หรือ Global Currency Reset คือ "การกำหนดมาตรฐานเงินตรา" กลับไปสู่ระบบเงินตราที่ทั่วโลกทุกประเทศเห็นพ้องต้องกัน ในครั้งสุดท้ายที่ประเทศต่างๆรวมตัวกันเพื่อตกลงระบบสกุลเงินใหม่ของโลกคือในปี 1944
ที่ Bretton Woods ทีรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองยังคงดำเนินต่อไปใกล้จะปืดฉาก
... ผู้นำจากประเทศต่างๆทั่วโลกได้ประชุมและตัดสินใจ ( ถูกมหาอำนาจอเมริกาบีบให้คล้อยตาม เพราะเป็นลูกหนี้ หรือต้องพึ่งพาเงินกู้เขา ),เลือกระบบสกุลเงินใหม่ทั่วโลก สิ่งนี้นำไปสู่การจัดตั้ง "องค์กรระดับโลก" เช่น "กองทุนการเงินระหว่างประเทศ" หรือ ไอเอ็มเอฟ และ GATT ซึ่งต่อมากลายเป็น "องค์การการค้าโลก"
... ประเทศพันธมิตรทั่วโลก ต่างเห็นพ้องต้องกันในการร่วมใช้ "อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินคงที่" ตาม "ระบบมาตรฐานทองคำโลก" , "ดอลลาร์อเมริกา" เป็นสกุลเงินที่ประเทศต่างๆใช้ในการค้ำค่าเงินของสกุลเงินตนเองภายใต้ข้อตกลงนี้ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากอเมริกาครอบครอง "แหล่งทองคำ" ส่วนใหญ่ของโลกในเวลานั้น
... "อเมริกา" ได้รับประโยชน์อย่างมากจากระบบสกุลเงินใหม่นี้ และ "เงินดอลลาร์" ก็ไหลแพร่เข้าสู่ "ธนาคารกลางทั่วโลก" เป็นReserve currency หน้าใหม่ไฟแรง
... ในเวลาต่อมา โลกก็ได้ออกจาก "ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่" เมื่อริชาร์ดนิกสันหยุดสนับสนุนเงินดอลลาร์ด้วยทองคำทั่วโลกในปี 1971, สิ่งนี้เรียกว่า "นิกสันช็อก"
... วันนี้สกุลเงินหลักทั้งหมดของโลกลอยอยู่ในตลาดโลก ในขณะที่บางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปเรายังคงอยู่ในส่วนที่เหลือของระบบ Bretton Woods ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกยังคงมีเงินสำรองอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์และยังคงเป็นที่ต้องการสูงในปัจจุบัน
... หลังจาก "วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์" การล่มสลายทางการเงินของโลกในปี 2008 หลายคนคาดเดาว่าเรากำลังจะกลับไปสู่ "มาตรฐานทองคำ" อีกครั้ง บางคนเชื่อว่าจะมี "ระบบการเงินอื่น" โดยแน่นอน นักเศรษฐศาสตร์นักคิดหลายคนได้ออกมาอ้างว่าบางประเทศอาจอิงค่าเงินของตนกับทรัพยากรในประเทศของตน ( เช่น เวเนซุเอลา อิงเงินกับน้ำมัน ) ข้อเรียกร้องคือ สกุลเงินทั้งหมดจะตีราคาใหม่ตามสินทรัพย์ของประเทศ สิ่งนี้จะทำให้ "ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น" เนื่องจากผู้คนเริ่มแสวงหาการป้องกันความเสี่ยงจาก "การลดค่าของเงิน"
... ปัญหาของแนวคิดนี้คือ ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ต้องก้าวข้ามให้ได้
... ประการแรก "ธนาคารกลางทั่วโลก" จะต้องเห็นด้วยกับสิ่งนี้และสิ่งนี้จะทำให้เกิดข้อจำกัด ที่สำคัญในนโยบายการเงินของพวกเขาแต่ละประเทศที่ต่างกัน
... ประการที่สอง จะต้องมีความร่วมมืออย่างมากกับรัฐบาลจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อที่จะนำระบบใหม่นี้ไปใช้หรือกลับไปใช้ระบบเก่า บางประเทศจะได้รับจากเรื่องนี้ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ จะสูญเสียผลประโยชน์ได้
... ประการที่สาม ประเทศต่างๆต้องการ "รักษาความมั่งคั่งของตน" ในขณะที่ย้ายไปสู่ระบบใหม่ หากความมั่งคั่งส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สิ่งนี้จะทำให้เกิดปัญหา
... ประการที่สี่ องค์กรระดับโลกเช่น IMF, WTO และ The World Bank จะกลายมาเป็นแค่ "ของที่ระลึก หรือ พิพิธภัณท์" จากยุค Bretton Woods 1944, แต่พวกเขาจะพยายาม "ต่อสู้ดิ้นรน" เพื่อเอาตัวเองกลับมาให้มีบทบาทที่เกี่ยวข้องในระบบใหม่ในอนาคต
... ด้วยเหตุนี้ นักเศรษฐศาสตร์นักคิด จึงคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์จะพังทลายในเร็ววันนี้ พวกเขาอ้างว่าเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังจะพังทลายลงในสักวัน สิ่งนี้จะบังคับให้ประเทศต่างๆทั่วโลก "เจรจาตั้งระบบเงินตราโลกใหม่ "
... หลายคนอ้างว่า "วิกฤตเศรษฐกิจปี 2008" เป็นข้อพิสูจน์ถึงการล่มสลายที่กำลังจะมาถึง หลายคนเขียนประวัติศาสตร์ใหม่และใส่ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ด้านลบเพื่อเป็นข้อพิสูจน์
... วันนี้ "การรีเซ็ตสกุลเงินทั่วโลก" ได้กลายเป็น "ทฤษฎีสมคบคิด" ที่สำคัญที่เชื่อว่าดอลลาร์จะพัง ทฤษฎีนี้ประกาศให้ชาติต่างๆทั่วโลก "ยอมทิ้งเงินดอลลาร์ " เป็นผลให้ผู้คนเริ่มเตรียมรับมือกับความผิดพลาดล้มเหลวของดอลลาร์ในอนาคต พวกเขาลงทุนในโลหะมีค่าเช่น "ทองคำ" , พวกเขาซื้อเงินตราต่างประเทศและหลายคนกลายเป็นผู้เตรียมและกักตุนอาหาร ทฤษฎีสมคบคิดนี้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่
... แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็ไม่ได้เป็น ทฏษฎีสมคบคิดอย่างเดียว เพราะ "จีน" ได้มีการนำร่องใช้ "เงินดิจิตัลหยวน" ที่ออกโดยธนาคารชาติจากรัฐบาลกลาง ในหลายเมืองในประเทศแล้ว ที่จะมีผลต่อระบบการโอนจ่ายเงิน SWIFT ที่อเมริกาและยุโรปควบคุมอยู่ รวมทั้งสามารถควบคุมสืบหาที่มาที่ไปของแหล่งเงินได้ สามารถแก้ไขปัญหาการฟอกเงินและการสนับสนุนการก่อการร้ายได้ ลดบทบาทการใช้เงินสกุลกลางอย่างดอลล่าร์ หรืออื่นๆน้อยลง ในเวทีการค้าโลก
... และยิ่งกว่านั้น เฟด "ธนาคารกลางอเมริกา" ได้ออกข่าวจริงมาแล้วว่า จะวิจัยเพื่อจะพิจารณาการออก "เงินดิจิตัลดอลล่าร์" ด้วยเช่นกัน เพื่อจะรักษาสถานะสกุลเงินหลักของโลกเอาไว้ ในกระแสเงินหมุนเวียน การโอน การจ่าย การเก็บในธนาคารกลางทั่วโลกให้ได้ต่อไป
... มากกว่านั้น สถานะการณ์โควิด19 ยิ่งทำให้ประเทศทั่วโลกเป็นหนี้ เกิดการขาดสภาพคล่องทางการเงินในดุลบัญชีเดินสะพัดของรัฐบาล ที่มีหนี้มากขึ้นในการเอาเงินมารักษาจับจ่ายเรื่องนี้ รวมทั้งเยียวยาคนตกงาน ธุรกิจที่เดืดร้อนทั่วประเทศ
... ยิ่งกว่านั้น เมื่อ 3 มิถุนายน 2020 ที่ผ่านมา ไอเอ็มเอฟ โดย นาง Kristalina Georgieva, Managing Director, IMF ได้ออกมาให้ข้อมูลเรื่องประเทศกว่า170 ทั่วโลก กำลังเผชิญกับเศรษฐกิจหดตัว หลายประเทศไปต่อไม่ได้ต้องกู้เงินไอเอ็มเอฟมากขึ้น คนตกงานทั่วโลกมากขึ้น จีดีพีทั่วโลกหดตัวลง เงินขาดสภาพคล่องไปทั่วโลก ความยากจนและเหลื่อมล้ำจะมากขึ้น จนอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทาง "การเงินดิจิตัล" ในโลกของเรา ในเร็ววันนี้
... This is the moment to decide that history will look back on this as the Great Reset, not the Great Reversal
... "นี่เป็นช่วงเวลาที่จะตัดสินว่าประวัติศาสตร์จะมองย้อนกลับมามองในเรื่องนี้ ในฐานะที่เป็นการรีเซ็ตครั้งใหญ่, ไม่ใช่การย้อนกลับหลังครั้งใหญ่"
... จากคำปราศรัยดังกล่าว มันจึงเป็นไปได้สูงมากเช่นกัน ที่จะมีการรีเซ็ตการเงิน จัดระเบียบการเงินโลกใหม่ เป็น เบรตตันวู้ด2 ในอนาคตอันใกล้นี้
... ที่จะมีผลต่อทั้ง ตลาดการเงิน ตลาดหุ้น ตลาดโภคภัณท์ ตลาดพันธบัตร และการค้าจริง ค่าครองชีพ ราคาอาหาร สินค้าบริการของคนทั่วโลก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 1944 ที่ทั่วโลกแห่เก็บเงินดอลล่าร์อเมริกา ในธนาคารกลางมาแล้วในอดีต
Cr.Jeerachart Jongsomchai
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you