มีโอกาสที่จะร่วงลงถึง 50% หรืออาจถึง 90% ก็ได้ และจะนำไปสู่วิกฤติการเงินตามด้วยวิกฤติเศรษฐกิจได้ ...แต่ก็ไม่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลมีการพิมพ์เงินใหม่ออกมาเป็นตัน ไม่ใช่แค่อเมริกัน แต่มีทั้งยูโร ญี่ปุ่น จีน และประเทศเล็กๆอื่นๆ
..ต่อเนื่องกันมาเป็นสิบปี จึงยังไม่มีการล่มสลาย ...มันควรจะ แต่มันก็ไม่เกิด มันเป็นแค่การเลื่อน ที่จะเลวร้ายมากไปอีก เป็นการแก้ปัญหาที่สร้างปัญหาเพิ่ม
นักลงทุนที่พากันเข้าช้อนหุ้นเมื่อปี 2009 จะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะไม่ร่วงไปอีก 50% หรือหลังจากนั้นก็ร่วงอีก ..มันยากที่จะคาดการณ์ได้ถูก ...คงต้องรอตอนที่มันงวดลงจริงๆ ซึ่งก็เดาไม่ได้
ช่วงปี 2008 ผมไม่ได้คาดเลยว่าทองคำจะได้รับผลกระทบมากนัก แต่มันก็กระทบแต่ไม่มากเพราะยังมีการเสนอซื้ออยู่ ...หลังจากนั้นมันก็ขึ้นทำนิวไฮจนถึง $1,900/oz
สิ่งที่เกิดในปี 2008 จะเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะเลวร้ายกว่ามาก คำถามคือเราจะอยู่รอดและทำกำไรจากมันอย่างไร
10:50....SBTV....คุณพูดถึง Greater Depression ที่มันจะเลวร้ายกว่าครั้งที่แล้ว และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
Doug Casey.....เพราะ Depression เป็นผลมาจากการที่เพราะรัฐบาลเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจมากเกินไป ...ที่จริงมันก็อาจเกิดจากภัยธรรมชาติ เฮอริเคนหรือแผ่นดินไหว .....Depression คือช่วงวลาที่มาตรฐานการครองชีพของประชาชนร่วงต่ำอย่างรุนแรง .....กรณีการเกิด Depression ของเมื่อปี 1929-1946 นั่นคือเกิดจากการแทรกแซงของรัฐบาลล้วนๆ นั่นคือ Federal Reserve ทำให้เกิด artificial boom ในช่วงปี 1920s (ที่เรียกกันว่า Roarin' 20s) มีการพิมพ์เงินมากมายทำให้ผู้คนทำในสิ่งบ้าคลั่งในแบบที่จะไม่ทำในยามปกติ ....เงินไหลท่วมตลาดหุ้น ตลาดเรียลเอสเตท สร้างฟองสบู่ขนาดยักษ์ ...จนมาระเบิดออกในปี 1929
เรื่องนี้กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ...แต่ครั้งนี้รัฐบาลมีอำนาจมากกว่าครั้งก่อนมากมายนัก ฟองสบู่ที่สร้างขึ้นเป็นระดับโลกเลยและใหญ่กว่า และแน่นอนว่ามันจะต้องระเบิดจนได้ ....แต่ Depression ครั้งนี้จะต่างไปจากเมื่อช่วง 1930s - 40s เพราะเมื่อฟองสบู่ระเบิดออกครั้งนั้น รัฐบาลไม่มีกำลังพอที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อโดยการเพิ่มปริมาณเงิน แต่คร้งนี้มี ......ดังนั้นแทนที่ดอลล่าร์จะมีมูลค่าสูงขึ้นแบบในปี 1930s ..จะกลับเป็นตรงข้าม
ครั้งนี้เราจะต้องเผชิญกับเงินเฟ้อแบบ inflationary depression ในแบบที่เยอรมันหรือ Weima เคยเจอมาแล้วตอนต้น 1920s หลังสงครามโลกครั้งแรก แต่รุนแรงกว่ามาก และยาวนานกว่า เพราะทุกๆรัฐบาลในโลกมีกำลังมากกว่า และทำเรื่องโง่ๆหลายอย่างมากกว่ายุคนั้น
19:45.....SBTV....จากปริมาณเงินที่เพิ่มมามากมาย ทำให้หลายๆคนคิดว่าตัวเองมั่งคั่ง ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะมีผู้ชนะและผู้แพ้ ....ความมั่งคั่งนี้มันจะสูญสลายไปเลยหรือต้องถูกถ่ายโอนไปกันแน่
Doug Casey......มันจะเกิดขึ้นทั้งสองแบบ ทรัพย์สินหลายอย่างถูกทำลาย ลองคิดดูกรณีที่รัฐบาลที่ควบคุมเศรษฐกิจไว้ทุกด้านก็อาจมีการสร้างสิ่งก่อสร้างไปตามเหตุผลทางการเมืองแต่ไม่เป็นไปตามเหตุผลทางเศรษฐกิจ ....ตัวอย่างก็สิ่งที่เกิดในประเทศจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จทางการเมืองมากในรอบ 40 ปีมานี้ ....มีเมืองสร้างใหม่ที่รกร้างหลายแห่งที่ไม่ได้มีผลทางเศรษฐกิจเลย เป็นความสูญเปล่าที่น่าจะต้องถูกทำลายทิ้งในวันข้างหน้า .....เป็นเหตุผลเดียวกับที่ในสหรัฐเมื่อช่วงวิกฤติ 1930s มีการทำลายอาคารที่เป็นลักษณะ Gatsby ไปมากมาย ......ในปัจจุบันก็อาจมีผู้ซื้อรถเฟอรารี่สัก $3 แสน แต่เมื่อเกิด depression มันก็อาจต้องถูกจอดจนผุพังไป ...มันเคยเกิดขึ้นกับรถเมอร์ซีดีส์และแคดิลแลคในยุค 1930s มาแล้ว .......ทรัพย์สินหลายอย่างอยู่สูงเกินระดับเฉลี่ย (above their means) ของความเป็นอยู่ของผู้คนในช่วง depression ...
แต่มันก็ยังมีทรัพย์สินที่แท้จริงที่จะต้องถูกเปลี่ยนเจ้าของมากมาย เฟอรารี่ราคา $3 แสนนั้นก็อาจถูกเปลี่ยนมือไปในราคาแค่ $5 พันก็ได้ ...และมีทรัพย์สินแบบนี้อีกเป็นจำนวนมากที่ถูกถ่ายจากเจ้าของเดิมที่สุรุ่ยสุร่ายไปยังเจ้าของใหม่ที่รอบคอบกว่า
25:20.....SBTV....คุณคิดว่าทองคำเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกจะมองเป็นเครื่องมือที่ปลอดภัยอยู่หรือเปล่า
Doug Casey.......แน่นอน ทองคำคือ money มันถูกใช้เป็น money เหมือนกับที่อลูมีเนียมถูกใช้ในการผลิตเครื่องบินนั่นแหละ ...ในอดีตทองคำก็ถูกใช้เพื่อการเป็น money มาแล้ว ....สกุลเงินทุกสกุลในโลกตอนนี้คือกระดาษทั้งนั้น มันไม่สามารถแลกคืน (redeem) เป็นอะไรจากรัฐบาลผู้ตรามันขึ้นมาได้ ..นอกจากซื้อทรัพย์สินในเวลาที่ยังมีผู้ยอมรับ
เริ่มแรกจะมีการล้มละลายของเงิน เงินทุกสกุลจะต้องไปสู่มูลค่าแท้จริง (intrinsic value) ของมันซึ่งคือศูนย์ แต่คนก็ยังต้องใช้เงินในการเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนกัน จีนและรัสเซียจึงมีการสะสมทองคำ ผมคิดว่าเราต้องได้เห็นเงินหยวนและรูเบิ้ลที่หนุนด้วยทองคำในไม่ช้า
และในเมื่อเราไม่รู้ถึงจำนวนทองคำที่ใช้หมุนเวียนในทางการเงิน มันก็ทำให้เราประเมินราคาทองคำยาก ผมเดาว่าน่าจะมีสัก 6 พันล้านออนซ์ สำหรับประชากร 7 พันล้านคนบนโลก .....เดาว่าราคาน่าจะอยู่ที่ประมาณ $5,000 - $10,000 ต่อออนซ์ ถ้าเราใช้จำนวนดอลล่าร์ทั้งหมดที่มีในโลกหารด้วยปริมาณทองคำที่สหรัฐมีอยู่ ซึ่งอ้างว่าเท่ากับ 265 ล้านออนซ์ ผมคิดว่าในตลาดกระทิงครั้งนี้ ราคาคงไปถึง $5,000 - $10,000 ......
Cr.Sayan Rujiramora
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you