“กลุ่ม JeM ป่วนอินเดียคือใคร? ไวรัสบาปอังกฤษเพาะไว้ ?​ Sco​ อ่อนแอลง?"

... ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานในปี 2019 เป็นความขัดแย้งสืบต่อเนื่องของ “อินเดีย- ปากีสถานในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์”... เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2019 ผู้ก่อการจาก “จัมมูและแคชเมียร์” ได้ใช้รถระเบิดฆ่าตัวตายเพื่อสังหารสมาชิก

กองกำลังตำรวจกลางของ “อินเดีย” ทำให้อย่างน้อย 42 นายเสียชีวิต ขณะที่กำลังถูกลำเลียงมาในรถขนเจ้าหน้าที่บนถนนในเขต Pulwama ของแคว้นดังกล่าว และเป็นการโจมตีเจ้าหน้าที่ของอินเดียที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่มีการต่อต้านอินเดียของกลุ่มในปากีสถาน

... การโจมตีถูกอ้างความรับผิดชอบ ว่าเป็นการก่อการร้ายโดยกลุ่ม Jaish-e-Mohammed ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบติดอาวุธที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ใน “ปากีสถาน” ขณะที่ตัว “รัฐบาลปากีสถาน” เองก็ได้ประณามการโจมตีในครั้งในและปฏิเสธการมีส่วนร่วมใด ๆ กับทางกลุ่มดังกล่าว

... จากนั้น ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2019 “กองทัพอากาศอินเดีย” ได้ทำการโจมตีทางอากาศจากอินเดียใน “จัมมูและแคชเมียร์” ของฝั่งปากีสถานเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ “สงครามอินเดีย - ปากีสถาน 1971” โดยได้บินข้ามเส้นแบ่งการควบคุมเข้าไปในเขตดินแดนนั้น แหล่งข่าวจากอินเดียอ้างว่าการโจมตีทางอากาศในวันนั้นได้สังหารผู้ก่อการร้ายไปแล้ว 350 ราย แต่ผู้อยู่อาศัยและรัฐบาล “ปากีสถาน”ในพื้นที่เป้าหมายนั้นออกมาบอกว่าตัวเลขของอินเดียไม่ตรงตามจริง เพราะไปทิ้งระเบิดในเขตที่ไม่ค่อยมีกลุ่มก่อการร้ายอยู่อาศัย พื้นที่ว่าง และกระจายในเขตชาวบ้านและทำให้หญิงแก่และเด็กเสียชีวิตด้วย และอินเดียบอกว่าเป็นการแก้แค้นกลุ่มก่อการร้ายที่โจมตีในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2019 ที่เขต Pulwama

... กลุ่ม Jaish-e-Mohammed , JEM หรือ “เจอีเอ็ม” ที่แปลว่า “ทหารของท่านโมฮัมหมัด” นั้นก่อตั้งในปี 2000 , กลุ่มติดอาวุธนี้ตั้งอยู่ใน “ปากีสถาน” ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือการบ่อนทำลายและโค่นล้มการควบคุมของ “อินเดีย” เหนือ “จัมมูและแคชเมียร์” ที่ ปกครองโดยอินเดีย เน้นการโจมตีกลุ่มเป้าหมายด้านความมั่นคงและเป้าหมายของรัฐบาลอินเดีย และเพื่อการรวมดินแดนนี้เข้ากับปากีสถานในอนาคต นอกจากนั้นยังขยายการโจมตีและขจัดอิทธิพลของอินเดียไปถึงดินแดนหลักอินเดียด้วย โดยใช้ แคว้น “จัมมูและแคชเมียร์” นี้เป็นเสมือน "ประตู" ไปทั่วทั้งอินเดียซึ่งเขามองว่าชาวมุสลิมในอินเดียเหล่านั้นต้องการการปลดปล่อยด้วย “พวกเขาจะนำญิฮาดไปยังส่วนอื่น ๆ ของอินเดียด้วยความตั้งใจที่จะขับฮินดูและศาสนาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มุสลิมจากอนุทวีปอินเดีย”

... แต่ที่แน่นอนชัดเจนคือ​ "กลุ่ม​JeM นี้​ทำให้อินเดียกับปากีสถานแตกแยกกัน"

… กลุ่มนี้ก่อตั้งโดย Masood Azhar ซึ่งก่อนหน้านี้เคยต่อสู้ภายใต้ร่มธงของกลุ่ม Harkat-ul-Mujahideen ที่มีความเชื่อมโยงกับ “อัลกออิดะห์” al-Qaeda ( แม้ยังไม่มีหลักฐานว่า JEM เชื่อมโยงกับตะวันตก แต่ก็ทราบกันทั่วโลกว่า “อัลกออิดะห์” นั้นเชื่อมโยงกับซาอุดิอาระเบีย อเมริกามานานทั้งใน อัฟกานิสถาน อิรัก และซีเรีย )

... ข้อมูลที่อ้างจากสหประชาชาติ กล่าวว่า Masood Azhar ได้ก่อตั้ง JeM ขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจาก “โอซามา บินลาเดน” หัวหน้าของ “อัลกออิดะห์” และกลุ่มตาลีบันใน “อัฟกานิสถาน” และในปี 2001 กลุ่มนี้ก็ได้ช่วยเหลือ “ตาลีบัน” ในการต่อสู้กับทหารตะวันตกและนาโต้ภายใต้การนำของ “อเมริกา” ( ที่เบื้องหลังนั้น อเมริกา ต้องการสร้างทางท่อส่งแก๊สจากรอบทะเลสาปแคสเปียนไปที่มหาสมุทรอินเดีย ที่ต้องผ่าน อัฟกานิสถาน แต่ตอนนั้น ตกลงผลประโยชน์ไม่ลงตัว ทำให้ อเมริกาต้องใช้กำลังทหารมา “ปล้นประเทศอัฟกานิสถาน” แบบเดียวกับเวเนซุเอล่า โดยอ้างเรื่องตาลีบันให้การปกป้องโอซามาบินลาเดนในกรณีระเบิดตัวเอง 11 กันยายน 2001 )

... โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2001 กลุ่ม “เจอีเอ็ม”ได้เกี่ยวข้องกับการโจมตีอาคารสภานิติบัญญัติในแคชเมียร์ ของอินเดียและรัฐสภาอินเดียในกรุงนิวเดลี มีผู้เสียชีวิตกว่า 50 คนในการโจมตีทั้งสองครั้งนั้น และทำให้นาย Masood Azhar ถูกทางการปากีสถานจับตัวและหลังจากนั้นกูถูกปล่อยโดยอ้างว่าหลักฐานไม่เพียงพอ ทำให้ต่อมาทางปากีสถานและกลุ่มประเทศ รัสเซีย ออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย ยูเออี อังกฤษ อเมริกา และสหประชาชาติ ได้ประกาศว่ากลุ่มนี้เป็น “องค์การผู้ก่อการร้าย”

... และหลังการถูกปล่อย เขาก็ได้มีการพยายามก่อการร้ายใน “ปากีสถาน” ประเทศตัวเองด้วย แต่ไม่สำเร็จ รวมทั้งพยายามลอบสังหารนายเปอร์เวซ มูชารัฟ ประธานาธิบดีประเทศในครั้งนั้น ในปี 2003 ด้วย

... ในปี 2016 “ปากีสถาน” กักตัวนาย Masood Azhar ,อัซฮาร์ อีกครั้งหลังจากที่ “อินเดีย” กล่าวหาว่า “เจอีเอ็ม” นั้นรับผิดชอบในการโจมตีฐานทัพอากาศอินเดียในเมือง Pathankot ที่ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหกคน

... ต่อมาในปี 2016 เดียวกันนั้น JeM ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีกองกำลังความมั่นคงของอินเดียที่เมือง Uri ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 19 คน

... ย้อนกลับมาสู่ปัจจุบัน หลังจากที่ จากวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2019 “อินเดีย” ได้ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่เขตแดนของ “ปากีสถาน” นั้น เมื่อวันที่ 27กุมภาพันธ์ ก็บอกว่าสามารถยิงเครื่องบินอินเดียตกสองคน และกักขังไว้ และกำลังมีการเจรจาปล่อยตัวในเร็ววันนี้ โดยปากีสถานบอกการยิงกลับคืนนั้น ว่าไม่ใช่การแก้แค้นหรือดึงเขตนี้เข้าสู่สงครามแต่แค่ต้องการบอกว่าสามารถจะแก้แค้นหรือมีศักยภาพที่จะทำแบบนั้นได้ เพื่อป้องกันตัว และสันติภาพ

... ข่าวบางสำนักบอกว่าการที่ทางนายกรัฐมนตรีอินเดีย นายนาเรนทรา โมดิเล่นไม้แข็งในการไปบอมบ์ปากีสถานนั้น ก็เพราะว่าจะต้องแสดงบทบาทความเข้มแข็งให้ประชาชนเห็น เพื่อจะได้รักษาความนิยมเอาไว้ต่อไปจนถึงการเลือกทั่วไปในอินเดีย ประมาณ เดือนเมษายน หรือ พฤษภาคมปี2019 นี้

... ความขัดแย้งระหว่างเขต แคว้น เมือง ต่างๆในอินเดียนั้น มีมาก่อนแล้วก็จริง ในทั้งการเมืองและศาสนา ฮินดู ซิกข์ อิสลาม แต่ระหว่าง “อังกฤษ” ปกครองสมัย “บริติชราชา” ในระหว่างปี 1858-1947 ที่ ก่อนนั้นเกิด “สงครามซีปอย” ที่ทหารที่ก่อการส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดียมุสลิมที่มีทั้งเรื่องการเมืองและศาสนามาเกี่ยวข้องด้วย เช่นเอาน้ำมันหมูที่อิสลามถือว่าผิดหลักศาสนามาใช้หล่อลื่นปืน ( เหมือนที่อเมริกาทำกับฟิลิปปินส์ในอดีต )

... “อังกฤษ” เข้ามาทำให้ความแตกแยกในอินเดียทวีปแย่หนักกว่าเดิม พยายามลดอำนาจของฝ่ายเขตแคว้น “อิสลาม” และสนับสนุนฝ่าย “ฮินดู” หรือ มีการจัดแบ่งเอาหัวเมืองใหม่ตามใจตัวเอง ที่ต่างเมืองก็ต่างศาสนา มามัดรวมกันในมณฑลเดียวกันแบบไม่กลมกลืนทางศาสนาและวัฒนธรรม เช่น แต่งตั้งผู้ปกครองชาวฮินดูในพื้นที่แคว้นที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม จนทำให้การแตกแยกสามัคคี อังกฤษมองว่าฮินดูปกครองง่ายและเปิดรับแนวคิดตะวันตกมากว่าอิสลาม เพื่อจะกอบโกยเอาผลประโยชน์จากความแตกแยกนั้น เช่น ทำให้มณฑลปกครองเหล่านั้นแตกแยกกันเอง จนไม่เกิดความสามัคคีกันเพื่อจะมาเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ เช่นครั้งหนึ่ง อังกฤษเคยเอาคนเชื้อสายแขกอินเดีย และชาวเบงกาลี ไปเป็นตำรวจ ทหาร พ่อค้า ข้าราชการ แรงงาน ในเขต “พม่า” จนเติบโตออกลูกหลานหลายส่วนไปแย่งงานและออกเงินกู้ที่บางปีการเพาะปลูกเกิดภัยธรรมชาติส่งเงินกู้คืนไม่ได้ ต้องถูกแย่งที่ดินทำกินจน “ชาวพม่า” ไม่พอใจ ทำให้เกิดรอยร้าวความแตกแยกในประเทศพม่า ทำให้ไม่มีเอกภาพพอที่จะมาเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษและเป็นบาดแผลมาจนถึงทุกวันนี้ เช่นเรื่องรัฐยะไข่และโรฮีนจา

... “ผลเสีย ถ้าอินเดียกับปากีสถานขัดแย้งกันหนัก”
... จะมีผลต่อกลุ่ม SCO หรือ “กลุ่มความร่วมมือเซี่ยงไฮ้” หรือ Shanghai Cooperation Organisation ทำให้อ่อนแอลง โดยกลุ่มนี้เข้าใจกันว่าเป็น “พันธมิตรแห่งตะวันออก” เพื่อจะสร้างอำนาจทางการเมือง การทหาร ทางการค้าเศรษฐกิจ ทางการเงินของตัวเอง มาแข่งคานอำนาจกับฝั่งที่นำโดย “อเมริกาและยุโรปนาโต้” กลุ่มนี้จึงมีประเทศในเอเชีย เอเชียกลาง 3ใน 5 , เอเชียใต้เป็นสมาชิกด้วย ที่ทั้งคู่ “อินเดียกับปากีสถาน” เพิ่งจะเป็นสมาชิกใหม่พร้อมกัน ในวันที่ 9 มิถุนายน 2017 ภายใต้การดึงเข้ามาของ “จีน” และทั้งกลุ่มนี้ เช่น จะใช้เงินท้องถิ่นในการซื้อขาย ไม่ใช้เงินดอลล่าร์ของ “กลุ่มพันธมิตรตะวันตก” ด้วย หรือ โครงการ “ทางสายไหมใหม่” ที่จะเดินระบบรางหรือทางหลวงผ่านระหว่างประเทศเหล่านั้น

... นอกจากนี้ ถ้า “สงครามอินเดียกับปากีสถานยื้ดเยื้อ” แล้วจะมีผลกระทบต่อโครงการ CPEC หรือ China–Pakistan Economic Corridor ที่เป็นส่วนต่อขยายของ “เส้นทางสายไหมใหม่” ที่จะเชื่อมระหว่าง “จีนกับปากีสถานและออกทะเลมหาสมุทรอินเดีย” ด้วย ที่ข้อดีของโครงการนี้คือจะทำให้จีนไม่ต้องขนส่งน้ำมันหรือสินค้าไปไกลอ้อมถึงช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้

... ดังนั้น “ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน” จึงมีผลต่อโครงสร้างทางการเมือง ทางการทหาร การค้าและการเงินของโลกอย่างมาก

.
… Jaish-e-Mohammed (Urdu: جيش محمد‎, literally "The Army of Muhammad", abbreviated as JeM) is a Pakistan-based[1] Deobandi[2] jihadist[2][3] terrorist group active in Kashmir.[4] The group's primary motive is to separate Kashmir from India and merge it into Pakistan. Since its inception in 2000, the terror outfit has carried out several attacks in the state of Jammu and Kashmir. It projects Kashmir as a "gateway" to the entire India, whose Muslims are also deemed to be in need of liberation. After liberating Kashmir, it aims to carry its ‘jihad’ to other parts of India, with an intent to drive Hindus and other non-Muslims from the Indian subcontinent. It has carried out several attacks primarily in the Indian state of Jammu and Kashmir.[5][6] It also maintained close relations with Taliban and Al-Qaeda in Afghanistan and continues to be allied to them

... The declared objective of the JeM is to liberate Kashmir and merge it with Pakistan. However, it projects Kashmir as a "gateway" to the entire India, whose Muslims are also deemed to be in need of liberation. After liberating Kashmir, it aims to carry its jihad to other parts of India, with an intent to drive Hindus and other non-Muslims from the Indian subcontinent

… Pakistan, Russia, Australia, Canada, India, the United Arab Emirates, the United Kingdom,[22] the United States and the United Nations

... The SCO is widely regarded as the "alliance of East", due to its growing centrality in Asia-Pacific, and has been the primary security pillar of the region.[4][5] Being the world's forefront regional organisation in economic power and political influence,[6][7] and one of the world's strongest military alliances,[8] it is also the largest regional organisation in the world in terms of geographical coverage and population, covering three-fifths of the Eurasian continent and nearly half of the human population. At present, the SCO is one of the world's most powerful and influential organisations.[9][10][11]

คลิก

คลิก

คลิก

คลิก

Cr.Jeerachart Jongsomchai

สนับสนุนข่าวโดย ICMarkets
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"