ปีนี้เต็มไปด้วยเรื่องประหลาดใจจากประธานาธิบดีทรัมป์และคณะบริหารงานของเขา ตั้งแต่การลาออกของเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปจนถึงการตัดสินใจถอนกำลังทหารออกจากซีเรีย แม้ว่าจะมีการต่อต้านจากหลายฝ่ายทั้งภายในพรรคของเขาเอง
และในกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับเขา แต่ทรัมป์ก็ไม่เคยหยุดการขัดขวางของการต่อต้านจากวงในของเขาเองด้วยการประกาศใหม่ หรือการพัฒนาใหม่ๆ
แต่ยังมีบางประเด็นที่ไม่ได้ขึ้นหน้าหนึ่งหรือเป็นเรื่องสำคัญที่อาจทำให้คุณประหลาดใจก่อนหน้านี้
และนี่คือ 10 สิ่งที่คณะบริหารของทรัมป์ได้เคยดำเนินการในปี 2018 ที่คุณอาจไม่เคยทราบมาก่อน
1. ผู้อพยพลดลง
ในปี 2018 จำนวนผู้อพยพที่ลดลงในสหรัฐมากกว่าทุกยุคในช่วงตลอด 40 ปีที่ผ่านมา นั่นเป็นเพราะคณะบริหารของทรัมป์ได้ดำเนินการนโยบายที่ให้สัญญาว่าจะจำกัดจำนวนประชาชนที่มุ่งหน้าเข้ามาในสหรัฐ
ในเดือนกันยายน คณะบริหารของทรัมป์ได้ลดจำนวนสูงสุดของผู้อพยพที่รับได้ต่อปีลงจาก 45,000 เหลือ 30,000 ราย ซึ่งในปี 2019 อาจพบว่าจำนวนผู้อพยพลดต่ำลงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐได้
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐได้แถลงตลอดปี 2018 ที่มุ่งเป้าที่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัย โดยในเดือนธันวาคมนี้ ศาลสูงสหรัฐได้ต่อสู้กับคำสั่งของคณะบริหารของทรัมป์ในการประกาศใช้ข้อกำหนดใหม่ที่จะเป็นการระงับการเข้ามาลี้ภัยในสหรัฐกับประชาชนที่เดินทางเข้ามาในตามทางด่านตรวจชายแดน
2. ทรัมป์ตัดความช่วยเหลือปากีสถาน
ในทวีตช่วงปีใหม่ ทรัมป์ได้มุ่งเป้าไปที่ปากีสถาน โดยอ้างว่า สหรัฐได้ให้เงินช่วยเหลือปากีสถานอย่างไร้ประโยชน์มามากกว่า 33 ล้านดอลลาร์ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา โดยเขาปฏิญาณว่าความช่วยเหลือนั้นจะสิ้นสุดลง และมันก็ได้สิ้นสุดลงจริงๆ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในช่วงวันหยุดแรงงาน ความช่วยเหลือทางทหารของปากีสถานก็ได้สิ้นสุดลง โดยเงินช่วงเหลือ 300 ล้านดอลลาร์จะถูกนำไปพิจารณาใหม่ตามลำดับความเร่งด่วนของโครงการอื่นๆ
ด้านกองทัพสหรัฐได้กล่าวหาปากีสถานว่าให้ความช่วยเหลือกลุ่มที่ได้มุ่งเป้าที่กลุ่มทหารสหรัฐในอัฟกานิสถาน ด้านปากีสถานได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างต่อเนื่อแม้ว่าผู้นำกลุ่มอัล-เคด้าจะถูกกองกำลังสหรัฐสังหารในเมือง Abbottabad ในปี 2011 ซึ่งใกล้กับพื้นที่ค่ายทหารของสหรัฐในปากีสถานไม่ถึงไมล์
3. เปลี่ยนแปลงกฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศ
ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในขณะที่ทางวอชิงตัน ดีซีถูกหันเหความสนใจให้กับการสืบสวนในประเด็นของรัสเซียและการแต่งตั้ง Jim Costa เลขาธิการด้านการศึกษาของทรัมป์ Betsy DeVos ได้ออกร่างกฎหมายเพื่อเปลี่ยนข้อกำหนดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดและการคุกคามทางเพศในโรงเรียน
แม้ว่า Devos จะระบุว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้การรายงานอาชญากรรมเป็นไปอย่างโปรงใสและน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่กลุ่มผู้สนับสนุนที่เป็นตัวแทนของเหยื่อผู้รอดชีวิตจากการคุกคามทางเพศได้ออกมาโต้แย้งว่า นี่เป็นความพยายามที่จะเพิ่มอำนาจให้กับผู้ที่ถูกกล่าวหาและลดภาระทางกฎหมายให้กับโรงเรียน
หนึ่งในข้อกำหนดที่เป็นที่ถกเถียง คือการอนุญาตให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาสามารถดำเนินการสอบสวนผู้ฟ้องร้องได้ผ่านผู้แทนในศาล
ซึ่ง Sage Carson ผู้บริหารโครงการ Know Your Title IX ระบุว่า หากร่างนี้ผ่านการรับรองเป็นกฎหมาย ผู้รอดชีวิตจากการล่วงละเมิดทางเพศจถูกบังคับให้ออกจากโรงเรียนมากขึ้น ด้วยการล่วงละเมิดและการข่มขู่ และการเพิกเฉยต่อข้อร้องเรียนของโรงเรียน
4. รายงานการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ถูกละเลย
โดยปกติแล้ว คณะบริหารของทรัมป์จะใช้วันหลังจากช่วงวันหยุดขอบคุณพระเจ้า (วันศุกร์) ในการปกปิดข่าวที่ไม่ค่อยดีนัก
ในปี 2018 ข่าวนั้นมาในรูปแบบรายงานประจำปีของรัฐบาลเกี่ยวกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่ที่มีการเลิกตั้ง ทรัมป์ได้ตั้งคำถามมาโดยตลอดว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาได้ทวิตข้อความในทวิตเตอร์ว่า “ไหนล่ะปรากฎการณ์โลกร้อน?”
หลังจากที่เกิดภาวะอากาศเย็นเข้าปะทะสหรัฐ แนวคิดนี้แสดงให้เห็นถึงการตัดสินที่จะปกปิดรายงาน ที่มีขึ้นหลังช่วงวันหยุดขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจกับรายงานขององค์กรด้านมหาสมุทรและสภาพอากาศแห่งชาติของสหรัฐ (NOAA) เท่าใดนัก โดยรายงานนนี้ไม่เป็นเพียงการประกาศว่าการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศเป็นเรื่องจริง หากแต่เป็นการประกาศว่ามันกำลังย่ำแย่มากขึ้น และคุกคามต่อระบบนิเวศประการังของสหรัฐมากขึ้น
5. การเลือกตั้งถูกจัดฉากขึ้น..หรือไม่?
เพียงแค่ 3 วันก่อนที่จะถึงปี 2018 ทรัมป์ได้แอบปลดคณะกรรมการที่ยุติการร่วมลงทุนของบรรดาผู้เสียภาษี ที่หลายคนมองว่าเป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการเลือกตั้งได้รับการจัดตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคมปี 2017 เพื่อสืบสวนหนึ่งในข้อกล่าวหาหลักของทรัมป์เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016 ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นการจัดฉาก
แม้ว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง แต่คู่ปรับจากพรรคเดโมแครตอย่างนางฮิลารี คลินตัน ก็ได้รับเสียงโหวตมากกว่าสามล้านเสียง ซึ่งในระบบการเลือกตั้งของสหรัฐ การได้รับเสียงโหวตมากที่สุดไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันชัยชนะ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ชอบแนวคิดที่ว่า ผู้คนอยากได้คลินตันเป็นประธานาธิบดี โดยหน้าที่หลักของคณะกรรมการคือการศึกษาจุดด้อยของระบบการเลือกตั้งที่อาจก่อให้เกิดระบบการเลือกตั้งที่ไม่เหมาะสม เช่นการปลอมการลงทะเบียนเลือกตั้ง และการปลอมการลงคะแนน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์สร้างขึ้นภายใต้ข้อกล่าวหาที่อ้างว่าประชาชนหลายล้านคนโหวตให้คลินตันอย่างผิดกฎหมายในปี 2016
6. หนี้เสียสหรัฐพุ่งสูงขึ้น
ในฐานะผู้สมัครที่เป็นนักธุรกิจ ทรัมป์ลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยหลักการที่ว่าเขารู้ถึงวิธีการในการประหยัดงบประมาณและตัดการใช้จ่าย และที่สำคัญที่สุด เขาได้ให้คำมั่นว่าเขาจะกำจัดหนี้เสียของชาติ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของพรรครีพับลิกันมานานหลายปี
ในฐานะประธานาธิบดี หนี้เสียยังคงพุ่งสูงขึ้นภายใต้การบริหารของทรัมป์ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม หนี้เสียของสหรัฐอยู่ที่ 21.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2017 หนี้เสียอยู่ที่ 19.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ งบประมาณของกองทัพและโครงการต่างๆ เช่น ความมั่นคงในสังคมและการแพทย์พุ่งสูงขึ้นในปี 2018 และไม่มีตัวบ่งชี้ใด ๆ ว่าทรัมป์จะดำเนินการในการลดหนี้เสียนี้
7. สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ถูกคุกคาม ?
ตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง นักนิเวศวิทยาและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสัตว์ได้เตือนว่า การปกป้องสัตว์ป่าควรเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเขา ประธานาธิบดีได้วิจารณ์ข้อกำหนดของรัฐบาลมาโดยตลอดว่าขัดต่อการทำธุรกิจของเขา ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการของทรัมป์ได้เสนอที่จะถอดร่างกฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ออกจากหลักการสำคัญบางประการ
ในขณะที่ข้อเสนอนี้ยังเป็นเพียงร่างกฎหมาย คำขอได้กลายเป็นคำเตือนส่งไปยังองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ โดยองค์กร Sierra Club ซึ่งมีสมาชิกกว่า 3.5 ล้านคนได้อ้างว่า หากร่างกฎหมายนี้ได้รับการรับรอง การเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดจะทำให้การปกป้องสัตว์ป่าและสัตว์ทะเลบางชนิดอยู่ในความเสี่ยง ในขณะที่หนึ่งคณะบริหารของทรัมป์กล่าวว่า ร่างกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่านี้เป็นภาระทางกฎหมายที่ไม่มีความสำคัญ
8. ทรัมป์อัดฉีดงบประมาณกองทัพในต่างประเทศ
ในเดือนสิงหาคม ทรัมป์ได้ลงนามรับรองหนึ่งในร่างงบประมาณที่ใหญ่ที่สุดสำหรับกองทัพสหรัฐ โดยมีมูลค่าถึง 717 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับปี 2019 งบประมาณของกองทัพสหรัฐสูงกว่าของจีน อินเดีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซียรวมกันเสียด้วยซ้ำ โดยทรัมป์ได้โอ้อวดว่า “เรากำลังจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทัพอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” โดยภายในงบประมาณนี้ เป็นร่างงบประมาณเดียวกับที่ทรัมป์เคยวิจารณ์อดีตประธานาธิบดี โดยทรัมป์เคยวิจารณ์ว่าทำไมบุช และโอบาม่าถึงใช้งบประมาณมหาศาลกับอิรักและอัฟกานิสถาน ซึ่งในปี 2019 ทรัมป์ได้เพิ่มงบประมาณทางทหารในประเทศทั้งสองเสียด้วยซ้ำไป
9. เรียกร้องให้ยุติการห่วงโซ่การอพยพ ยกเว้นสำหรับครอบครัวทรัมป์
ทรัมป์เกลียดห่วงโซ่การอพยพ เขากล่าวถึงเรื่องนี้หลายครั้ง ทรัมป์กล่าวว่า “ภายใต้ระบบที่ล้มเหลวในปัจจุบัน ผู้อพยพเพียงคนเดียวก็สามารถพาญาติพี่น้องของตนเองเข้าประเทศมาได้ไม่จำกัด” “และภายใต้แผนการของเรา เรามุ่งที่ครอบครัวในทันที ด้วยการจำกัดการให้สนับสนุนคู่สมรสและบุตร”
นี่เป็นความน่ารังเกียจอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม สิ่งนี่ไม่เกิดขึ้นกับครอบครัวเขา ในเดือนสิงหาคม Amalja และ Viktor Knav พ่อแม่ของสตรีหมายเลขหนึ่ง ได้เดินทางไปยังตึกรัฐบาลในนิวยอร์คและปฏิญาณตนเป็นพลเมืองสหรัฐ โดยทั้งสองคนมาจากประเทศสโลวีเนีย แล้วพวกเขาได้รับสัญชาติมาอย่างไร ผ่านการแต่งงานของลูกสาว กับทรัมป์ หรือ ในอีกแง่หนึ่งก็คือ ห่วงโซ่การอพยพ เมื่อถูกถามว่ากรณีครอบครัว Knav นั้นสมควรถูกดำเนินการเช่นเดียวกับครอบครัวผู้อพยพอื่นๆหรือไม่ นักกฎหมายของครอบครัวนี้ระบุว่า “ผมคิดว่าใช่”
10. ทรัมป์โพสต์ท่าถ่ายรูปร่วมกับนักทฤษฎีสมคบคิด
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้โพสต์ท่าถ่ายรูปในห้องทำงานรูปไข่ของเขาร่วมกับหนึ่งในนักทฤษฎีสมคบคิดที่โด่งดัง Lionel Lebron ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนทฤษฎีที่ได้รับความสนใจมากในปี 2018 โดยรู้จักกันในชื่อ Q หรือ QAnon ทฤษฎีของเขามุ่งที่การสร้างข้อกล่าวหากับอริหรือผู้ต่อต้านประธานาธิบดี โดยเขาได้โพสต์รูปถ่ายกับประธานาธิบดีพร้อมกับข้อความในทวิตเตอร์ว่า เขาไม่เคยถกประเด็นเรื่องทฤษฎีสมคบคิดกับทรัมป์
RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : หมี CNN
สนับสนุนข่าวโดย ICMarkets
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/