วิบากกรรมปาล์ม 'อินโดฯ-มาเลย์'

เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันใน "อินโดนีเซียและมาเลเซีย" ผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของโลกยังเผชิญปัญหาต่อเนื่อง หลัง "สหภาพยุโรป" (อียู) หนึ่งในผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุด ประกาศจะใช้มาตรการ "zero palm oil" เลิกใช้น้ำมันปาล์มภายในปี

2020-2021 และได้จำกัดการใช้น้ำมันปาล์มเพิ่ม ในการผลิต "เชื้อเพลิงชีวภาพ"

กระแสแบนการใช้น้ำมันปาล์มเกิดขึ้นตั้งแต่สภาที่ปรึกษาด้านสุขภาพของรัฐบาลเบลเยียม เปิดรายงานเมื่อ 3 ปีก่อน โดยระบุว่า น้ำมันปาล์มมีกรดไขมันอิ่มตัว (saturated fat) เป็นสาเหตุ ให้เกิด "โรคหัวใจ" จนเป็นปรากฏการณ์ให้สินค้าทุกประเภทในยุโรป ต้องติดฉลาก "no palm oil" ล่าสุดรัฐสภายุโรปของสหภาพยุโรป (อียู) เตรียมเสนอร่างกฎหมายห้ามใช้น้ำมันปาล์มในการผลิต "เชื้อเพลิงชีวภาพ" โดยเฉพาะที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ สร้างแรงกดดันต่อเนื่องจากที่ได้ประกาศต่อต้านการใช้น้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์อื่น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอาง และสินค้าอุปโภคบริโภค

เดอะ การ์เดียน รายงานว่า กรณีดังกล่าวผู้แทนของสภาปาล์มน้ำมันมาเลเซียออกมาตอบโต้ทันทีว่า เกษตรกรชาวมาเลเซียกำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากมาตรการของอียู ซึ่งตั้งเป้าจะลดการใช้น้ำมันปาล์มให้เป็นศูนย์ (zero palm oil) ภายในปี 2020 หรือที่บางสื่อระบุว่าภายในปี 2021

ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นผู้ส่งออกปาล์มน้ำมันอันดับสองของโลก มูลค่าการส่งออกแต่ละปีสูงถึง 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากคณะกรรมาธิการของอียูอนุมัติคาดว่า จะส่งผลกระทบต่อชาวสวนรายเล็กกว่า 650,000 คน ยังไม่นับชาวสวนขนาดกลางและขนาดใหญ่ในประเทศอีกจำนวนหนึ่ง

ขณะที่ฟากของ "อินโดนีเซีย" ผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก เคยโดนโจมตีจากกลุ่มกรีนพีซอ้างว่า เฉพาะในอินโดนีเซียประเทศเดียวแผ้วถาง พื้นที่ป่าเพื่อปลูกปาล์มขนาดเท่ากับสนามฟุตบอล 145 สนาม ในทุก ๆ 1 ชั่วโมง เกษตรกรอินโดนีเซียจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน

"กาวัล ซูร์บักตี" เจ้าของสวนปาล์มน้ำมัน 12.6 ไร่ บนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย เปิดใจกับจาการ์ตาโพสต์ว่า รัฐบาลอินโดนีเซียพยายามออกนโยบายผลักดันอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น บูมการท่องเที่ยว เพื่อชดเชยรายได้ ที่มาจากการส่งออกปาล์มน้ำมัน แต่แทบจะทดแทนกันไม่ได้

ทั้งนี้ สมาคมน้ำมันปาล์มอินโดนีเซียระบุว่า มีชาวอินโดนีเซียทำงานในอุตสาหกรรมกว่า 3 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาวสวนที่ปลูกปาล์มน้ำมันมานานเกินชั่วชีวิต ดังนั้นจึงเป็นไปได้ยากที่จะเปลี่ยนงานไปทำอุตสาหกรรมอื่น ขณะที่ตลาดส่งออกอื่น ๆ เช่น จีน และอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดนำเข้าเบอร์ 2 และ 3 ของ โลกก็ชะลอการนำเข้า ตามกระแส ต่อต้านปาล์มน้ำมันเช่นกัน

นักวิเคราะห์มองว่า ทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซียพยายามชดเชยรายได้ ด้วยการผลักดันการท่องเที่ยว แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านภูมิประเทศที่เกิด ภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง รวมถึงสภาพความเป็นเกาะแก่งมากกว่าในอินโดนีเซีย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจึงต้องใช้งบฯลงทุนค่อนข้างสูง

ล่าสุดรัฐบาลโจโก วิโดโด ของอินโดนีเซีย สั่งระงับการพัฒนาสวนปาล์มน้ำมันใหม่เป็นเวลา 3 ปี แม้จะ ได้รับเสียงชื่นชมจากกลุ่มอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม และอียูไม่น้อย ทว่าความกังขาจากชาวสวนปาล์มกลับดังกระหึ่ม เพราะไม่มีนโยบายอื่นที่ชัดเจน

ความกังวลมากขึ้น หลังจากที่องค์กร Statista เปิดเผยข้อมูลว่า อียูกลายเป็น กลุ่มประเทศที่ใช้น้ำมันปาล์มมากที่สุดของโลก โดยเฉลี่ยใช้น้ำมันปาล์มปีละ 6.3 ล้านตัน ในจำนวนนี้ราว 46% ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ส่วนอีก 45% นำไปใช้กับส่วนประกอบของอาหารคนและสัตว์ และอีก 9% สำหรับการผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อน

สำหรับประเทศหลักที่ใช้น้ำมันปาล์มมากที่สุดในกลุ่มสมาชิกอียู ได้แก่ อิตาลี สเปน ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ รวมกันแล้วเท่ากับ 38% ของการ ใช้น้ำมันปาล์มทั้งหมดภายในอียู

อย่างไรก็ตาม เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา "ไอซ์แลนด์" ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น "ร้านขายของชำ" ของอียู เป็นประเทศแรกที่ประกาศมาตรการแบนน้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์อาหาร โดย "ไอซ์แลนด์ ซูเปอร์มาร์เก็ต" ในสหราชอาณาจักร ให้คำมั่นจะไม่ใช้น้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์อาหารยี่ห้อของตนเอง ทั้งหมด 130 ชนิด ปัจจุบันสินค้าอาหารของซูเปอร์มาร์เก็ตไอซ์แลนด์ปลอดน้ำมันปาล์มแล้ว 50%

พร้อมระบุว่า จะหันไปใช้น้ำมันอื่นทดแทน เช่น เรปซี้ด คาดว่าหากลดการใช้น้ำมันปาล์มได้ 100% ในปีนี้จะช่วยลดปริมาณความต้องการน้ำมันปาล์มของโลกได้ 500 ตันต่อปี

น่าสนใจว่าประเทศที่กระทบจากมาตรการดังกล่าว อาจไม่ใช่แค่อินโดนีเซีย หรือมาเลเซียเท่านั้น ในส่วน ของไทยเองแม้ไม่ได้ส่งออกเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากน้ำมันปาล์ม และผลผลิตทางการเกษตรอื่นไปยังตลาดอียู แต่ไทยก็ส่งออกอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมันปาล์มไปทั่วโลก จึงต้องจับตามองกระแสการต่อต้านน้ำมันปาล์มว่าจะได้รับผลกระทบทางตรง หรือทางอ้อมมากน้อยแค่ไหน

Source: ประชาชาติธุรกิจ

https://www.prachachat.net/aseanaec/news-227174 

Cr.Bank of Thailand Scholarship Students

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"