แม้ว่าตลาดพันธบัตรของอเมริกา จะค่อยๆถูกทั้ง “รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น ตุรกี” เทขายทิ้งไป แต่ตลาด “สินทรัพย์หลักๆ” อื่นๆ ยังคงซื้อขายด้วยดอลล่าร์ซึ่งยากที่จะเปลี่ยนแปลง ในตลาดใหญ่ๆทั่วโลกที่นักลงทุนทั่วโลกนิยมซื้อขายกันนั้น
เช่น ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา ตลาดสินค้าโภคภัณท์ และตลาดอนุพันธ์ล่วงหน้า
... ในปี 1944 หลังจากการประกาศกติกาการยึดเงินดอลล่าร์กับทองคำหนึ่งออนซ์ที่ 35.25 ดอลล่าร์ และให้เงินสกุลอื่นผูกกับดอลล่าร์ Bretton Woods นั้น ทำให้ดอลล่าร์เป็นสกุลเงินหลักของโลก ตามการวางแผนของนักการเงินอเมริกา
... ทำไมเงินดอลล่าร์ยังคงไม่สะเทือนใดๆเลย นักวิเคราะห์บางสายมองว่ามันยากที่ดอลล่าร์จะล่มสลาย และค่อนข้างยาก แต่ดอลล่าร์ก็มีบริบทที่ดี มีจุดดีและจุดอ่อน
... “สกุลเงินอื่นก็เป็นเงินเฟียตเหมือนกัน” แม้ว่าในปี 1971 , ดอลล่าร์จะเลิกการอิงกับทองคำที่ ทองคำหนึ่งออนซ์ที่ 35.25 ดอลล่าร์ แล้ว แต่เงินสกุลอื่นก็เป็นเงินที่มีนโยบายคล้ายๆกัน คือพิมพ์เงินจากอากาศ ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างน้อยมากระหว่างพวกเขา รวมทั้งบางสกุล เช่นเงินยูโรก็มักใช้แค่ในภูมิภาคยุโรปเท่านั้น
... “วิกฤติที่อื่นแย่กว่า” เช่น การที่เงินยูโรกำลังแย่จากวิกฤติการเงินทั่วทวีป เช่นวิกฤติการเงินในกรีซ ในอิตาลี สเปน นักลงทุนก็เททิ้งเพื่อไปซื้อดอลล่าร์แทน หรือเงินลีร่าของตุรกีตกต่ำ ก็ยิ่งทำให้คนขายทิ้ง ไปซื้อเงินดอลล่าร์ ที่ยิ่งดีดตัวสูงขึ้นอีกครั้ง ( พวกเขามีศักยภาพในการที่จะทำร้ายเศรษฐกิจชาติตรงข้าม เช่นเพิ่มภาษีเหล็ก อลูมิเนียม ขณะเดียวกันก็ทำให้ค่าเงินประเทศตัวเอง อย่างดอลล่าร์แข็งค่าขึ้นมา )
... “เครือข่ายกว้างไกลและเหนียวแน่น” สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งในการก่อตั้งองค์กร “ไอเอ็มเอฟ” นั้นก็คือเพื่อจะมากระจายการมีบทบาทหน้าที่ในการสร้างหนี้ของประเทศลูกหนี้ เป็น “หนี้เงินดอลล่าร์” เมื่อกู้เงินจำนวนมหาศาลเป็นดอลล่าร์ก็ต้องหามาจ่ายเป็นดอลล่าร์ เพราะว่าดอลล่าร์ยังเป็นสกุลใหญ่ในตะกร้าไอเอ็มเอฟที่ประมาณ 41% ---ขณะที่ “จีน” เองก็รู้ตัว แม้จะเปิดธนาคารของกลุ่มตัวเองอย่าง AIIB เพื่อมาเป็นคู่แข่ง, ขณะที่ตะกร้าไอเอ็มเอฟ แต่ก็ขยายสัดส่วนของเงินหยวนให้มากขึ้น นับตั้งแต่ได้เป็นสมาชิกใหม่ในเดือนตุลาคม 2016 ผ่านมาแค่เกือบสองปี สัดส่วนเงินหยวนก็มากขึ้นมาอยู่ ที่ 8.33% ที่แซงหน้าเงินเยนของญี่ปุ่น ที่อยู่ที่ 8.09% และกำลังไล่จี้เงินปอนด์ของอังกฤษ ที่กำลังจะออกจากอียู ที่สัดส่วน 10.92%
... ถ้าเงินดอลล่าร์ลดสัดส่วนในตะกร้าไอเอ็มเอฟลดมากกว่านี้ และประเทศอื่นๆหันไปกู้เงินจากธนาคารจากฝั่งจีนเช่น AIIB เงินดอลล่าร์ก็จะค่อยๆลดบทบาทใน “เวทีหนี้โลก”ลง แต่เป็นไปอย่างช้าๆ เพราะลูกหนี้ที่กู้ไอเอ็มเอฟนั้น เป็นเงินจำนวนมากและสัญญาหลายปี
... “ซื้อขายน้ำมัน เปโตรดอลล่าร์” ยังซื้อขายด้วยเงินดอลล่าร์ แม้ จีน รัสเซีย อิหร่าน อินเดีย และหลายประเทศพยายามจะซื้อขายโดยไม่ผ่านดอลล่าร์ แต่ก็ยังไม่แพร่หลายเพียงพอ , น้ำมันนั้นเป็นหนึ่งใน “ตลาดสินค้าโภคภัณท์ทั่วโลก” นั้นยังนิยมซื้อขายด้วยเงินดอลล่าร์?
... ดังนั้น ทั้งธนาคารกลางประเทศและธนาคารพานิชย์ทั่วโลกจึงมักสะสมเงินดอลล่าร์ในคลัง โดยประมาณ 60%
... “สิ่งที่ดอลล่าร์กลัว”
... นักวิเคราะห์บอกว่าดอลล่าร์ก็มีจุดอ่อน เช่น ดอลล่าร์เป็นเงินเฟียต ที่พิมพ์เงินจากอากาศ ดอลล่าร์จึงเกรงกลัว “สกุลเงินที่ผลิตจากการค้ำด้วยสินค้าโภคภัณท์” เช่น ที่ “จีน” ผูกเงินหยวนไว้กับน้ำมันดิบและทองคำ เวเนซุเอล่าผูกกับน้ำมันในรูปแบบคริปโต รัสเซีย อิหร่าน อินเดียค้าขายด้วยทองคำและเงินอื่น อเมริกาจึงกลัวการแพร่หลายนิยมในการค้าโลกของเงินที่มีสินค้าโภคภัณท์ค้ำประกัน ที่มีเสถียรภาพมากกว่าเงินกระดาษ
... “เงินเฟ้อและหนี้สิน” ก็เป็นศัตรูตัวร้ายของเงินดอลล่าร์อเมริกา
... “เงินเฟ้อ” เพราะถ้าเงินดอลล่าร์เฟ้อ จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือจะทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ต่างๆทิ้งไป และถ้าปล่อยเฟ้อไปราคาสินค้าบริการในอเมริกาก็จะแพงมากขึ้น ชาวบ้านจะเดือดร้อน ( คล้ายๆเวเนซุเอล่า ) และถ้าธนาคารกลางอเมริกาแก้ไขเงินเฟ้อโดยการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดึงนักลงทุนต่างประเทศเอาไว้ จะทำให้ “หนี้สิน” ของพวกเขามากขึ้น ทั้งดอกเบี้ยหนี้สินและตัวหนี้สินเอง พวกเขาต้องกู้เงิน ขยายเพดานหนี้สินใหม่ เพื่อมาจ่ายหนี้เก่ามากขึ้นอีก และการขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้การลงทุนในประเทศเองตกต่ำลง เพราะนักลงทุนไม่กล้าสู้กับดอกเบี้ยแพงๆ
... “หนี้สิน” อเมริกาต้องใช้เงินงบประมาณประมาณ 10 ล้านล้านดอลล่าร์ต่อปี ในการมาจ่ายหนี้สินจากการขายพันธบัตร
... ดังนั้นพวกเขาต้องรักษาไม่ให้เงินเฟ้อ เช่นการ “สร้างสงครามเพื่อให้ทั่วโลกรีบเก็บดอลล่าร์” สินค้าโภคภัณท์ไม่ได้แปรผกผันกับดอลล่าร์ทุกอย่าง เพราะ “น้ำมัน” จะวิ่งผันตรงตามเงินดอลล่าร์ เช่น ถ้าน้ำมันแพง เพราะทั่วโลกเกรงกลัวสงครามในซีเรีย เยเมน ทั่วโลกจะเร่งซื้อน้ำมันในตอนนี้หรือล่วงหน้าเอาไว้ ทำให้พวกเขาต้องเก็บเงินดอลล่าร์เอาไว้ ดอลล่าร์จึงไม่เคยเฟ้อแบบสุดๆ หรือ Hyperinflation :ซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็รู้ จึงต้องพยายามจะชี้นำกระแสการซื้อน้ำมันแบบ “บายพาสส์ดอลล่าร์” โดยใช้เงินหยวน ยูโร ทองคำ แทนดอลล่าร์ แต่ยังดำเนินไปอย่างช้าๆ
... “อเมริกาครองสินค้าเฉพาะ เช่นอาวุธสงคราม ที่ประเทศอื่นผลิตไม่ได้ดีเท่า”
... “การสร้างสงครามเย็นใหม่” ทั้งกับรัสเซีย จีน รวมทั้งสงครามตัวแทน ในซีเรีย เยเมน ในย่านบอลติค ยิ่งทำให้เกิดการแข่งขันการสะสมอาวุธไปทั่วโลก และล่าสุดทรัมป์ก็ไปเยือนยุโรปเพื่อจะบีบให้เจียดเงินงบประมาณมาซื้ออาวุธอเมริกามากขึ้นอีก ที่ “พ่อค้าอาวุธใหญ่ที่สุดในโลกก็คืออเมริกา” ทำให้ทั่วโลกต้องสะสมเงินดอลล่าร์เพื่อจะมาซื้ออาวุธอีก ไม่น่าจะเกิด “เงินดอลล่าร์เฟ้อ” ในเร็วๆนี้
... ถ้าเงินเฟ้อมากจนทำให้เกิดหนี้สินเพิ่ม และทั่วโลกสามารถหันหนีสินค้าอื่นๆทดแทนสินค้าจากอเมริกาได้ หรือ ทำให้การเติบโตของอเมริกาลดลง ลดความน่าเชื่อถือของเงินดอลล่าร์ได้ ก็จะสามารถที่จะเร่งการล่มสลายของเงินดอลล่าร์ลงได้เช่นกัน แม้มันจะยากมาก แต่ฝ่ายตรงข้ามก็พยายามต่อไป เพื่ออิสรภาพทางการเงินของโลก
http://www.pravdareport.com/business/finance/27-07-2018/141298-us_dollar-0/
https://www.investopedia.com/articles/forex/09/factors-drive-american-dollar.asp
Cr.Jeerachart Jongsomchai
บทความสนับสนุนโดย FXPro
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman