คริปโตเคอเรนซี เริ่มเข้าประเทศไทย ประมาณ 5 ปี โดยเริ่มแรกหากพูดถึงสกุลเงินดิจิตอลคนไทยอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าพูดถึง “บิทคอยน์” ก็จะเริ่มคุ้นหู โดยในพ.ศ. 2556 บริษัท บิทคอยน์ จำกัด คือบริษัทแรกที่เริ่มตลาดในประเทศไทย
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้ทำการซื้อ-ขายได้ แต่สกุลเงินดิจิตอลยังไม่ถือเป็นเงินสกุลในประเทศไทย และยังอยู่นอกเหนือกฏข้อบังคับต่างๆ ของการแลกเปลี่ยนเงินตรา ปี พ.ศ. 2560 บิทคอยน์และตลาดเหรียญคริปโตกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วโลก ทำให้ชาวไทยสนใจและลงทุนในตลาดนี้มากขึ้น โดยในปัจจุบันมีคนไทยประมาณ 400,000 คน ที่ซื้อ-ขาย สกุลเงินดิจิตอล และมีบริษัทที่เปิดให้บริการมากขึ้น ร่วมทั้งมีกรณีการหลอกลวงเช่นเดียวกัน
ในไทยยังไม่มีกฏหมายและหน่วยงานเฉพาะใดๆ ที่ควบคุมดูแลและปกป้องนักลงทุน จากความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ เช่น ฉ้อโกง, หลอกลวง, สูญเสียทุน และอาจเป็นช่องทางเพื่อทำผิดกฏหมาย เช่น การฟอกเงิน และการสนับสนุนการก่อการร้ายอีกด้วย เหมือนดังในหลายประเทศได้ออกมาแสดงความกังวล และในบางประเทศก็ได้สั่งห้ามเด็ดขาด เช่น ประเทศจีน ธนาคารแห่งประเทศไทย ขอความร่วมมือสถาบันการเงินไม่ให้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ “คริปโตเคอเรนซี” เมื่อวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 นี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐบาลไทยจะเข้ามาดูแลและควบคุมตลาดเหรียญคริปโตในประเทศไทยอย่างจริงจัง ภายหลังการเรียกร้องของแบงค์ชาติ ธนาคารกรุงเทพได้ให้ความร่วมมืออย่างดี โดยปิดบัญชีของ เว็บสัญชาติไทย TDAX แล้ว
ที่มา: สำนักพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ)
ปัจจุบันหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเริ่มต้นและกำลังดำเนินการพัฒนากฎหมายและเทคโนโลยีเพื่อรองรับการเติบโตของโกลบอลเทรนด์ โดยสำนักพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ) ได้เซ็นต์สัญญาความร่วมมือกับบริษัท Omise เพื่อสร้างระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีการกระจายข้อมูลของประเทศไทย โดยส่วนตัวนักวิเคราะห์มีความเชื่อว่าสังคมโลกย่อมมีการพัฒนาตลอด และเทคโนโลยีก็จะเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม ร่วมถึง การเงิน ตลาดเหรียญคริปโตและการระดมทุนแบบ ICO อาจะเป็นจุดกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของอุตสากรรมการเงิน เนื่องจากได้รับการตอบรับจากประชาชนทั้งในประเทศไทย และทั่วโลกมาก ทั้งราคาบิทคอยน์และเหรียญอื่นๆที่ปรับขึ้นมาก อีกทั้ง JFin coin ของไทยเองก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชาวไทย
ที่มา: coin.dance
ในอนาคตคงไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่จากเทรนด์ปัจจุบันของคนยุคใหม่ และคนที่อายุน้อย สังคมกำลังพัฒนาเข้าสู่ “cashless society” ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีของตลาดเหรียญคริปโตนั้นมีประโยชน์ในการพัฒนาระบบการใช้-จ่ายเงินออนไลน์ จากสถิติผู้เทรดบิทคอยน์ กว่า 85% คือกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 18 – 44 ปี และมีเพียง 3% ของคนอายุ 55 – มากกว่า 65 ปี ดิฉันคิดว่าสิถิติสะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่กระตือรือร้น และให้ความสนใจกับการพัฒนาด้านการเงินนี้มาก และอาจเป็นกลายเป็นแรงผลักดันในการปรับปรุงและพัฒนาการเงินในอนาคต ถึงแม่ว่าในเบื้องต้น อาจมีการออกกฎบังคับ หรือต่อต้านออกมาก แต่หากว่าสามารถพิสูจน์ว่าประชาชนส่วนมากมีความต้องการแล้ว รัฐบาลของทุกประเทศอาจจำเป็นที่จะต้องกลับมาทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง
โดย นิรมล นิตย์นิธิพฤทธิ์ (นักวิเคราะห์การเงิน, Olymp Trade)
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman