ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะคงนโยบายเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษในปีนี้ต่อไป แม้คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวจากภาวะถดถอยเพราะไวรัสโคโรนาในปีที่ผ่านมา
จากการทบทวนรายไตรมาสของบลูมเบิร์กต่อนโยบายเงินที่ครอบคลุม 90%
ของเศรษฐกิจโลก ไม่คาดว่าจะมีธนาคารกลางใหญ่ของชาติตะวันตกใด ๆ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยคาดว่า จีน อินเดีย รัสเซีย และเม็กซิโก จะลดดอกเบี้ยมาตรฐานลงอีก และมีเพียงอาร์เจนตินาและไนจีเรียเท่านั้นที่คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้
สันนิษฐานว่าธนาคารกลางต้องการมั่นใจว่าการฟื้นตัวปลอดภัย ก่อนที่จะเริ่มพิจารณาเข้มงวดนโยบาย ความไม่แน่นอนที่มีมาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับไวรัส การว่างงานที่เพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อที่ลดลง เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางต้องรอไว้ก่อน และถึงแม้ว่าเงินเฟ้อจะกลับมาในปีนี้ ธนาคารกลางต่าง ๆ ก็น่าจะพยายามมองข้ามไว้ก่อน
ในช่วงที่เกิดวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ ธนาคารกลางเป็นหน่วยงานเดียวที่มีความสำคัญมากสุด แต่ในช่วงที่เกิดภาวะถดถอยเพราะโควิด-19 ธนาคารกลางออกมายินดีกับการเคลื่อนไหวของกระทรวงการคลังที่ออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังขนาดใหญ่ และระบบรักษาพยาบาลด้วยการฉีดวัคซีน
อย่างไรก็ดี เมื่อมองไปข้างหน้า ความท้าทายที่สำคัญจะอยู่ที่ว่าจะเลิกกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรุนแรงโดยไม่ทำให้เกิดปัญหาต่อเสถียรภาพทางการเงินได้อย่างไร
นี่คือการคาดการณ์เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสำคัญของโลก และธนาคารกลางบางแห่งในเอเชีย
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ธนาคารกลางสหรัฐเข้าสู่ปี 2564 ด้วยการดำเนินนโยบายเงินเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวจากการะบาดของไวรัสโคโรนา และไม่รีบที่จะหยุดสนับสนุน แม้เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ กล่าวว่า มองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เพราะวัคซีนควรจะมีจำหน่ายในวงกว้างภายในกลางปี แต่ก็ได้ย้ำว่าจะไม่รีบเลิกอุดหนุน ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่หลายคนได้ส่งสัญญาณว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ใกล้ศูนย์ไปจนถึงปี 2566 เป็นอย่างน้อย และสัญญาจะซื้อพันธบัตรในอัตรา 120,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนจนกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% และการจ้างงานสูงสุด จะมีความคืบหน้าเพิ่มมาก
บลูมเบิร์ก ชี้ว่า ความพยายามของเฟดที่จะชี้นำเชิงปริมาณมากขึ้นต่อนโยบายดอกเบี้ย และการซื้อสินทรัพย์ ไม่ควรจะตีความว่านี่เป็นหลักฐานว่าเฟดกำลังจะเลิกผ่อนคลายนโยบาย แต่ถือเป็นความพยายามอย่างมุ่งมั่นและมีจุดมุ่งหมายที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ taper tantrum (เกิดความตื่นตระหนกจนทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อนักลงทุนเริ่มรับรู้ว่าเฟดกำลังจะลดโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ) เหมือนปี 2556
เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวแข็งแกร่งในปีนี้โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ก็ไม่คาดว่าเฟดจะลดการผ่อนคลายเชิงปริมาณไปจนถึงปี 2565 โดยจะขึ้นดอกเบี้ยในปี 2568
ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)
ธนาคารกลางยุโรปได้เพิ่มวงเงินซื้อพันธบัตรฉุกเฉินเป็น 1.85 ล้านล้านยูโรในเดือนธันวาคม และจะซื้อต่อไปจนถึงเดือนมีนาคม 2565 อีซีบีจะซื้อพันธบัตรลดลงหรือไม่ขึ้นอยู่กับวิวัฒนาการของการระบาด ในขณะที่การเริ่มฉีดวัคซีนทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจสดใส การติดเชื้อเพิ่มขึ้นและการล็อกดาวน์อย่างรุนแรงในเยอรมนีซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดของภูมิภาค จะมีผลกระทบต่อแนวโน้มในระยะสั้น
บลูมเบิร์กคาดว่าอีซีบีจะซื้อพันธบัตรจนถึงสิ้นปีนี้ในอัตรา 20,000 ล้านยูโรต่อเดือน และจะคงสร้างสภาพคล่องด้วยปฏิบัติการรีไฟแนนซ์ระยะยาวที่เจาะจงเป้าหมาย (TLRO) ในอัตราดอกเบี้ยที่อาจต่ำถึง-1%
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ)
คาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หลังจากที่ได้ปรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2563 ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ทบททวนเพื่อหาแนวทางลดผลข้างเคียงและปรับปรุงประสิทธิภาพของนโยบายควบคุมเคิร์ฟผลตอบแทน ความจำเป็นที่จะต้องสร้างกรอบการทำงานที่ยั่งยืนมากขึ้นในระยะยาว สะท้อนว่าจะใช้เวลานานขึ้นที่เงินเฟ้อจะเป็นไปตามเป้า เนื่องจากราคาลดลงในอัตราที่รวดเร็วสุดในรอบทศวรรษไปจนถึงปลายปี 2562
การระบาดของไวรัสโคโรนายังไม่แน่นอนมาก แต่เนื่องจากสันนิษฐานว่าจะมีการฉีดวัคซีนในช่วงครึ่งแรกของปี และญี่ปุ่นเดินหน้าจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก จึงมีการจับตาอย่างใกล้ชิดว่าบีโอเจจะสามารถลดมาตรการอุดหนุนโควิดประมาณเดือนกันยายนหรือไม่
บลูมเบิร์กอีโคโนมิคส์ นิวส์ คาดว่า บีโอเจต้องอุดหนุนนโยบายแก่ภาคบริษัทต่อไปเพื่อควบคุมความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้มีแนวโน้มว่าบีโอเจจะเพิ่มเพดานซื้ออีทีเอฟและ REITH ออกไปชั่วคราว หลังจากที่หมดอายุลงในเดือนมีนาคมปีนี้ โดยน่าจะมีการตัดสินใจในการประชุมเดือนมกราคม และอาจจะปรับความยืดหยุ่นและคุณภาพในการซื้ออีทีเอฟในการประชุมเดือนมีนาคม
ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี)
แอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษยืนกรานว่าธนาคารมีคลังอาวุธมาก เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยและมีความสามารถที่จะเร่งหรือเพิ่มโครงการซื้อพันธบัตร แต่เบลีย์อาจกลายเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางคนแรกของอังกฤษที่ดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบ โดยจะขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจอังกฤษที่เสียหายเพราะไวรัสโคโรนาอยู่แล้ว จะจัดการกับตัวเองได้อย่างไรเมื่อไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) แล้ว
ตามความเห็นของบลูมเบิร์ก บีโออีมองแนวโน้มในทางบวกอย่างระมัดระวัง จึงมีความเป็นไปได้มากที่จะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบาย แต่น่าจะนำนโยบายดอกเบี้ยติดลบมาเป็นเครื่องมืออย่างเป็นทางการ ด้วยการลดประมาณการขอบเขตที่ดอกเบี้ยจะลดลง ซึ่งจะทำให้นโยบายคิวอีที่วางแผนไว้สำหรับปีนี้ มีคุณภาพมากขึ้น
ธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี)
การเติบโตของจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวรุนแรงในต้นปี 2564 ก่อนที่จะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อเข้าสู่วงโคจรในระยะยาว ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มว่าจะลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อทำให้นโยบายกลับสู่ปกติ โฟกัสของธนาคารกลางจีนน่าจะอยู่ที่การสร้างสภาพคล่องโดยเจาะจง โดยลดเกณฑ์กันสำรองเงินทุน ปล่อยกู้ในระยะยาวโดยเจาะจงเป้าหมายและให้ธนาคารกลางให้กู้ยืมซ้ำ และเป็นไปได้ว่าจะลดดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีระยะเวลา 1 ปีเพื่อรองรับการชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง
ธนาคารกลางเกาหลีใต้
ไม่น่าจะปรับดอกเบี้ยมาตรฐานและน่าจะพูดถึงมาตรการพิเศษอย่างเช่น คิวอี น้อยลง ตราบเท่าที่เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวเพราะการส่งออกดีขึ้น บลูมเบิร์กคาดการณ์ว่าวงจรผ่อนคลายนโยบายของธนาคารกลางเกาหลีใต้น่าจะสิ้นสุดลงแล้ว ในขณะที่ยังคงมีความไม่แน่นอนมาก แต่เศรษฐกิจเกาหลีใต้มีแนวโน้มฟื้นตัวในปีนี้ ธนาคารกลางเกาหลีจึงยังคงกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้น และได้เตือนว่าแผนการกู้ยืมขนาดใหญ่ของรัฐบาลอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลในตลาด แต่คิดว่าธนาคารกลางเกาหลีจะยังคงซื้อพันธบัตรเฉพาะกิจเพื่อคุมผลตอบแทน มากกว่าที่จะเปลี่ยนไปใช้นโยบายคิวอี
ธนาคารกลางอินโดนีเซีย
ธนาคารกลางอินโดนีเซียระงับวงจรลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม และไม่ได้ส่งสัญญาณลดอีก แต่คาดว่าการแข็งค่าของเงินรูเปียห์เพราะเงินทุนไหลเข้าและดีมานด์ในประเทศที่ยังคงซบเซา จะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางอินโดนีเซียลดดอกเบี้ยอีก 0.50% ในปีนี้ แม้ว่ามีโอกาสน้อยที่จะมีการส่งผ่านนโยบายเงิน แต่การลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก จะคุมต้นทุนในการกู้ยืมของรัฐบาลเมื่อหนี้เพิ่มขึ้น ธนาคารกลางอินโดนีเซียน่าจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลต่อไปแต่ในอัตราที่ลดลงมากขึ้น
ธนาคารกลางอินเดีย
บลูมเบิร์กคาดว่าเงินเฟ้ออินเดียในปีนี้จะต่ำกว่าเดือนธันวาคมซึ่งพุ่งสูงกว่า 6% ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางอินเดียเริ่มผ่อนคลายนโยบายในปีนี้ได้ และคาดว่าจะลดดอกเบี้ยรีโป 0.25% เหลือ 3.75% ในเดือนกุมภาพันธ์ และเหลือ 3% ภายในเดือนสิงหาคม และเนื่องจากสภาพคล่องเป็นตัวคุกคามสำคัญต่อเงินเฟ้อ จึงคาดว่าธนาคารกลางอินเดียจะมีท่าทีนโยบายที่ผ่อนปรนลงเพื่อเปลี่ยนไปลดต้นทุนการกู้ยืมในปีนี้
Source: ข่าวหุ้น
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you