ธุรกิจแลกเงินทนพิษโควิด-19 ไม่ไหว ตบเท้าปิดสาขา-ลดเงินเดือนพนักงาน สมาคมยอมรับผู้ประกอบการส่อปิดกิจการ 70% จากกว่า 2 พันราย หลังทั่วโลกหยุดเดินทางไม่มีนักท่องเที่ยว “ทเวลฟ์ วิคทอรี่ฯ” ทยอยปิดสาขา-บูทบนบีทีเอสกว่า 50% “ซุปเปอร์ริชสีส้ม”
ติดลบเดือนละ 4-8 ล้านบาท ปิดสาขาหัวหิน-ภูเก็ต ร้านแลกเงินทยอยปิดตัว นางชนาพร พูนทรัพย์หิรัญ อุปนายกสมาคมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (TAFEX) และประธานกรรมการ บริษัท ทเวลฟ์ วิคทอรี่ เอ็กเชน จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมธุรกิจร้านแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทยอยปิดสาขาและหยุดกิจการจำนวนมาก จากผลกระทบโควิด-19 เนื่องจากทั่วโลกปิดประเทศหยุดการเดินทางเข้าออก ทำให้ความต้องการแลกเปลี่ยนเงินตราหดหายไปทันที คาดว่ามีผู้ประกอบการหยุดกิจการ 70% จากจำนวนผู้รับใบอนุญาต 2,300 แห่ง เหลือ 600 รายเท่านั้น ล่าสุดร้านแลกเงินในแหล่งท่องเที่ยวพัทยาและภูเก็ตทยอยปิดตัว บางรายเลิกกิจการไปทำธุรกิจอื่น บางรายหยุดชั่วคราวรอให้สถานการณ์ดีขึ้น และรอนักท่องเที่ยวกลับมา
เช่นเดียวกับบริษัท ทเวลฟ์ วิคทอรี่ เอ็กเชน คาดว่าทยอยปิดสาขาและบูทให้บริการ 50% จากทั้งหมด 50-60 แห่ง เพราะตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นไป บริษัทจะต้องจ่ายค่าเช่าพื้นที่เต็มจำนวน จากก่อนหน้านี้ค่าเช่าลด 20% ทำให้มีภาระต้นทุนสูง ขณะที่ยอดธุรกรรมแลกเงินเฉลี่ย 5 หมื่นบาทต่อวันเท่านั้น เมื่อเทียบกับค่าเช่า 1.9 แสนบาทต่อเดือน จึงไม่คุ้มเปิดให้บริการต่อ
ถอดสาขาบนสถานี “บีทีเอส”
บริษัทเตรียมปรับลดเงินเดือนพนักงาน 15-20% สำหรับพนักงานแบ็กออฟฟิศที่เงินเดือนสูงกว่า 3 หมื่นบาท ส่วนพนักงานเคาน์เตอร์ พนักงานวิ่งงานคงเดิมเนื่องจากเงินเดือนไม่ได้สูง คาดว่าจะลดถึงปลายปีนี้หรือต้นปี 2564 รอสถานการณ์ดีขึ้น
“บริษัทไม่ต่อสัญญาเช่าสาขาบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ค่าเช่าแพงเฉลี่ย 1.75-1.9 แสนบาทต่อเดือน และทยอยปิดสาขาแล้วที่พร้อมพงษ์ ทองหล่อ กำลังจะปิดที่เอกมัยและเพลินจิต ในต่างจังหวัดอาจปิดตามแนวชายแดน เช่น หนองคาย แม่สอด ซึ่งธุรกรรมแลกเงินอิเล็กทรอนิกส์กำลังมา ทำให้สาขาแลกเงินมีความจำเป็นน้อยลง”
“ซุปเปอร์ริช” ยังลำบาก
ด้านนายปิยะ ตันติเวชยานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ริชเคอเรนซี่ เอ็กซ์เชนจ์ (1965) หรือ “ซุปเปอร์ริชสีส้ม” เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาแผนการปิดสาขาและจุดให้บริการแลกเงิน เพื่อบริหารจัดการต้นทุนให้บริษัทบาดเจ็บน้อยที่สุด เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกแต่ละเดือนประมาณ 4-8 ล้านบาท โดยไม่มีรายได้เข้า เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์ ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้า-ออกประเทศ ทำให้ธุรกรรมทั้งฝั่งซื้อและขายเงินตราต่างประเทศหายกว่า 95%
ปัจจุบันบริษัทมีสาขาทั้งหมด 40 แห่ง โดยภายในสิ้นปีจะหมดสัญญาเช่าประมาณ 5-6 แห่ง ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาต่อรองกับเจ้าของพื้นที่ว่าจะช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ปิดสาขาที่หัวหินไปแล้วส่วนที่ภูเก็ตปิดชั่วคราว รอดูสถานการณ์ที่ทางการจะปลดล็อกท่องเที่ยวเป็น3 เฟส
“ก่อนหน้านี้เราลดเงินเดือนพนักงานทั้งองค์กร 50% เพื่อบริหารค่าใช้จ่าย ซึ่งตอนนี้ยังติดลบ 4-8 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งไม่รู้จะแบกได้ถึงเมื่อไร สถานการณ์ค่อย ๆ ซึมไปเรื่อย เพราะตอนนี้ธุรกรรมเหลือแค่ 5% เป็นคนที่นำเงินเก่าที่เก็บไว้มาแลกบ้าง ซึ่งปริมาณน้อยลงเรื่อย ๆ แม้ว่าทางการจะเปิดให้เริ่มท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศยังไม่ได้รับอานิสงส์ หรือถ้าจะเปิดเป็น travel bubble เชื่อว่าสายการบินอาจทำแล้วไม่คุ้ม อาจจะช่วยต่อลมหายใจคือจากเดิม -100% อาจจะเหลือ -80% แต่เชื่อว่าอาการยังค่อนข้างหนักสำหรับเรา”
ธุรกิจดิ้นหนีตาย
สำหรับแนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ นายปิยะมองว่าค่อนข้างยาก เนื่องจากสถานการณ์การติดเชื้อในต่างประเทศยังไม่ดีขึ้น ซึ่งหากสถานการณ์ลากยาวคาดว่าจะเห็นธุรกิจแลกเงินต้องปิดตัวและพนักงานตกงานอีกมาก โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการได้รับใบอนุญาตราว 2,000 สาขา มีพนักงานเฉลี่ย 20 คนต่อแห่ง ซึ่งหากธุรกิจไม่สามารถไปต่อได้จะเห็นคนตกงานราว 2 หมื่นคน
อย่างไรก็ดี บริษัทได้ปรึกษาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตลอดในเรื่องการปรับตัว หรือการปรับแนวธุรกิจ ซึ่งก็มีแนวคิดที่จะขยายไปทำธุรกิจเงินอิเล็กทรอนิกส์สกุลเงินตราต่างประเทศ (FX e-Money) หลังจาก ธปท.ได้เปิดให้ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (nonbank) สามารถยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจได้ และเชื่อว่ามีผู้ประกอบการธุรกิจแลกเงินอีกหลายรายให้ความสนใจและเตรียมตัวเพื่อขยายธุรกิจและปรับตัว เพราะธุรกิจเดิมได้รับผลกระทบ แต่การเริ่มต้นใหม่จะต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก และการแข่งขันคงรุนแรง เพราะมีทั้งน็อนแบงก์และธนาคารที่เล่นกันเต็มที่
ทั้งนี้จากรายงานธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ปริมาณการซื้อขายเงินตราต่างประเทศของบุคคลรับอนุญาต (money changer) ในช่วงเดือนมกราคม 2563 เป็นขาซื้ออยู่ที่ 1,627 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาขาย 1,637 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในเดือนกุมภาพันธ์ ขาซื้อ 1,214 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาขาย 1,215 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่จำนวนผู้รับอนุญาต ณ เดือนมิถุนายน 2563 มีทั้งสิ้น 2,385 ราย ลดลงจากเดือน พ.ค.มีจำนวน 2,391 ราย โดยในปี 2562 มีจำนวน 2,382 ราย เพิ่มขึ้นจากในปี 2561 มีจำนวน 2,260 ราย
Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
-------------------------------------------
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you