แนวโน้มค่าเงินบาทกลับมาเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอีกครั้ง รวมถึงผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุน หากย้อนไปดูในไตรมาสแรกที่ผ่านมา จะเห็นว่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์ อ่อนค่าลงมาเกือบ 10% จากราว 30 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 32.7 บาทต่อดอลลาร์
เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2 ปี 2563 เงินบาทยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องไปแตะระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนที่สถานการณ์จะพลิกผันจนปัจจุบันเงินบาทกลับมา "แข็งค่า" อยู่ที่ 31.3 บาทต่อดอลลาร์ หรือ ราว 5% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
"สุนทร ทองทิพย์" ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย มองว่า ปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่ากลับมาในรอบนี้เป็นผลจาก การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์มากที่สุดในรอบ 3 เดือน เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้นำไปสู่การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น รวมถึงประเด็นการเมืองในสหรัฐ และการทำนโยบายประชานิยมซึ่งอาจทำให้สหรัฐขาดดุลงบประมาณมากถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีนี้ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
นอกจากนี้ สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่อนคลายลง ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยและดุลการค้า รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่มีทิศทางดีขึ้น ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมา
โดยภาพรวมแล้ว เราได้ทำการวิเคราะห์ปัจจัยอ่อนไหว (Sensitivity analysis) ถึงผลกระทบของการแข็งค่าของเงินบาทที่จะมีต่อกำไรของกลุ่มบริษัท โดยพบว่ากลุ่มที่จะได้ประโยชน์หลัก คือ กลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า และสายการบิน ส่วนกลุ่มที่เสียประโยชน์คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร
“สาเหตุที่กลุ่มพลังงานและโรงไฟฟ้าได้ประโยชน์เพราะว่ามีสัดส่วนหนี้สินในสกุลดอลลาร์สูง ซึ่งจะนำไปสู่กำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยการแข็งค่าทุกๆ 1 บาทต่อดอลลาร์ จะทำให้ประมาณการกำไรทั้งปี 2563 ของกลุ่มเพิ่มขึ้น 2 – 15% ขณะที่สายการบินจะได้ประโยชน์จากค่าเชื้อเพลิงในรูปเงินบาทที่ลดลง และจากการที่กลุ่มสายการบินมีกำไรอยู่แล้ว จึงคาดว่าจะช่วยหนุนกำไรให้เพิ่มขึ้น 80 – 100% จากการแข็งค่าทุกๆ 1 บาทต่อดอลลาร์”
ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอาหารจะได้รับแรงกดดัน เพราะมีรายได้สุทธิในสกุลดอลลาร์ในสัดส่วนที่สูง โดยเงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1 บาทต่อดอลลาร์ จะทำให้ประมาณการกำไรปีนี้ลดลง 7-18%
ขณะเดียวกัน บริษัทอย่าง บมจ.บ้านปู (BANPU) จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากมีสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในรูปดอลลาร์ ในขณะที่หนี้สินส่วนมากเป็นสกุลเงินบาท
“ในกรณีของ BANPU จะเห็นว่าการแข็งค่าทุกๆ 1 บาทต่อดอลลาร์ จะกระทบประมาณการกำไรในปีนี้ถึง 62% ซึ่งจะเห็นได้จากไตรมาสแรกที่ผ่านมา ซึ่งเงินบาทอ่อนค่า BANPU จะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่หากเงินบาทแข็งค่ากลับมาเช่นนี้ก็มีแนวโน้มจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเช่นกัน”
ด้าน บล.เอเซียพลัส มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้จะไม่แรงเหมือนปีก่อนที่เงินบาทแข็งค่าจาก 33 บาทต่อดอลลาร์ ณ 15 ธ.ค. 2561 มาอยู่ที่ 29.68 บาทต่อดอลลาร์ ณ 31 ธ.ค. 2562 เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนที่มาจากดุลบัญชีเดินสะพัดจะไม่เกินดุลมากเหมือนปี 2562 สาเหตุเพราะดุลการค้าในช่วงที่เหลือของปี 2563 จะชะลอการเกินดุล เพราะภาคส่งออกมีแนวโน้มส่งลดเศรษฐกิจโลกที่ชะลอ และคาดว่าการส่งออกทองคำและอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกินดลการค้าในไตรมาสแรกจะค่อยๆ ลดลง
ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังชะลอตัวจากมาตรากรควบคุมการเดินทางระวังประเทศที่เข้มงวดของแต่ละประเทศ รวมถึงการที่วัคซีน โควิด-19 ยังอยู่ในช่วงพัฒนา คาดว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยจะยังไม่ฟื้นตัวมากจนถึงปลายปี
โดย สกุลชัย เก่งอนันตานนท์
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you