... “มหาอำนาจชายเดี่ยวของโลก” นั้นใช้ “สงครามและการเงิน” ในการครองโลกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นต้นมา ... ย้อนกลับไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงเงินปอนด์ของอังกฤษก็อ่อนอิทธิพลลง
ทั่วโลกยังคงใช้ระบบแลกเปลี่ยนเงินตราที่ผูกกับทองคำ แต่ทองคำตอนนั้นน้อย เงินตรากระดาษที่ใช้แต่เพราะไม่มีทองคำสำรองจริง เงินที่พิมพ์มาจึงไร้ค่า เฟ้อ เศรษฐกิจตกต่ำ โดยเฉพาะ “เยอรมัน” ที่แพ้สงครามและถูกฝรั่งเศสบีบให้จ่ายค่าปฏิกรรมสงครามแบบรีดเลือด ทำให้ฮิตเล่อร์ได้รับการช่วยเหลืออย่างลับๆจากเมกา ทำให้มีเงินมาสร้างกองทัพและทำลายอังกฤษ ฝรั่งเศสและยุโรปให้เปลี่ยนสภาพจากทวีปมหาอำนาจต้องมารบราฆ่าฟันกันเอง กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด และดันให้อเมริกาเป็นมหาอำนาจใหม่ ตามนโยบาย “จัดระเบียบโลกใหม่” หรือ New World Order
... ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองและหลังจากนั้น มีการขนย้าย “ทองคำ” จากยุโรป ที่หนีการปล้นทองคำจากนาซีเยอรมัน เครื่องมือตัวละครของเมกา หนีภัยไปที่ ธนาคารในอังกฤษและอเมริกาเป็นจำนวนมาก และในปี 1944 ก็เกิดการสร้างมาตรฐานการเงินใหม่คือเบรตตันวู้ด ที่เงินดอลล่าร์เมกาเท่านั้นที่ 35 ดอลล่าร์สามารถแลกเปลี่ยนเป็นทองคำได้ 1 ออนซ์ ส่วนเงินสกุลอื่นแลกไม่ได้ ต้องแลกผ่านดอลล่าร์เท่านั้น เพราะตอนนั้นทั่วยุโรปต่างเป็นหนี้เมกาในรูปของ “โครงการมาร์แชลล์” ที่อเมริกาให้ยุโรปที่บอบช้ำจากเป็นสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่สอง, กู้เงินไปฟื้นฟูประเทศ ทั้งถนนหาทางไฟฟ้าประปาอาคารบ้านเรือน, เมกาทำให้เวทีประชาคมยุโรปยอมรับ, กระจายการใช้และสะสมเงินดอลล่าร์ใน “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” มากขึ้น ธนาคารชาติทั่วโลกต่างต้องสะสมเงินดอลล่าร์ในคลังตัวเอง
... หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบไปพักใหญ่ๆ ญี่ปุ่น เยอรมัน เริ่มฟื้นตัว เศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้หลายประเทศค้าขายกับพวกเขามากขึ้น เงินดอลล่าร์เริ่มลดความสำคัญลง หลายชาติทั่วโลกจึงเทขายเงินดอลล่าร์ในคลังธนาคารชาติ นำโดยฝรั่งเศสแล้วเอาไปแลกซื้อทองคำมาเก็บไว้แทน จนทองคำไหลออกจากคลังธนาคารเมกา ไหลหนีกระจายไปทั่วโลกมากขึ้น จนสุดท้ายนานไปทองคำก็จะหมดคลัง เงินดอลล่าร์ก็อ่อนลงเรื่อยๆ ดังนั้นวันที่ 15 สิงหาคม1971 ประธานาธิบดีนิกสันเลยประกาศยกเลิกชักดาบ “ระบบเบรนตันวู้ด” ที่ตั้งกติการ่วมกันหลายชาติ ในปี 1944 เสียดื้อๆ ( เป็นอีกครั้งที่เมกาฉีกสัญญาระหว่างประเทศที่ตกลงกันอย่างเป็นทางการ ด้วยการตัดสินใจของตัวเองฝ่ายเดียว แต่ก็ไม่มีใครกล้าหือ เพราะกลัวปืนระเบิดและการก่อการร้าย )
... เมกาจึงหาทางทำให้เงินดอลล่าร์ไม่อ่อนลง และหาวิธีให้ธนาคารกลางทั่วโลกมีแรงจูงใจกึ่งถูกบังคับให้มาเก็บเงินดอลล่าร์แทน “ทองคำ” ไว้ใน “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” ทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง หลังจากวิกฤติน้ำมันปี 1973 โดยให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันต้องงขายน้ำมันให้กับลูกค้าทั่วโลกเป็นเงินดอลล่าร์เท่านั้น ทำให้ประเทศทั่วโลกเดือดร้อนต้องเอาทองคำหรือเงินสกุลอื่น เช่น เยน มาร์ค ในคลังธนาคารกลางของตนไปแลกเป็นดอลล่าร์กลับมาเก็บเหมือนเดิมอีกครั้ง
... และเมกาไปไกลกว่านั้น เพราะพวกเขามีหนี้สินมาก พวกเขาไม่ต้องการเอาเงินรายได้ในประเทศมาลงทุนพัฒนาประเทศอย่างเร่งรีบ รวมทั้งงบประมาณกลาโหมทางการทหารมากขึ้นทุกปี พวกเขาเลยใช้วิธีการ “ดูดเงินจากธนาคารกลางทั่วโลก” มาใช้จ่ายในประเทศของพวกเขา เช่น “การออกพันธบัตรรัฐบาล” ของเมกา ก็คือการขอกู้เงินจากรัฐบาลประเทศอื่นๆทั่วโลก ที่เริ่มเก็บเงินดอลล่าร์เพื่อซื้อขายน้ำมันนั่นเอง ซึ่งประเทศต่างๆทั่วโลกก็พอใจ เพราะดีกว่าเก็บเงินในคลังเฉยๆ สุดท้ายเงินดอลล่าร์ทั่วโลกที่คนทั่วโลกทำมาหากินเก็บหอมรอบริบ ก็ไหลกลับไปอเมริกาอีกครั้ง เพื่อเอาไปจ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายหนี้สินงวดก่อน
... ดังนั้นในปี 2019 แม้ว่าอเมริกาเศรษฐกิจไม่ดี หนี้สินมากมาย แต่ทำไมบริษัทจากอเมริกาจึงมีเงินไปลงทุนมากมายมหาศาลทั่วโลก ก็เพราะเงินจาก “การขายพันธบัตรรัฐบาลของอเมริกา” ส่วนหนึ่งนี่เอง
... เมื่อเมกาได้เงินกู้จากธนาคารกลางทั่วโลกในรูปการขาย“พันธบัตรรัฐบาล” ไปให้รัฐบาลอเมริกาใช้ รัฐบาลอเมริกาก็เอาเงินพวกนี้ไปออก “คิวอี” ปั๊มเงินเข้าตลาดหุ้นและเอาเงินนี้ไปซื้อหนี้เสียหุ้นไร้ค่า พันธบัตรไร้ราคาของบริษัทที่จะล้มจะขาดทุน แต่เขาไม่ยอมให้ล้ม กลับมาแทรกแซง , หรือทรัมป์ก็ลดภาษีให้บริษัทใหญ่ในตลาดหุ้นมากขึ้นเพราะมีเงินใช้จ่ายมากขึ้นจากทั่วโลก หรือตอนที่ปี 2008 ที่รัฐบาลอเมริกาเอาเงินไปอุ้มบริษัทใหญ่ของคนรวยตอนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ถ้าลงลึกไปอีก เงินรัฐบาลอเมริกานั้นก็มาจากเงินจากทั่วโลกที่ให้อเมริกายืมมาในรูปแบบพันธบัตร
... ดังนั้นบริษัทจากอเมริกาจึงร่ำรวยมีเงินไปลงทุนในต่างประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศเจ้าของเงินกู็อีกรอบหนึ่ง เป็นการแก้สงสัยว่าทำไมบริษัทอเมริกาจึงร่ำรวยทั้งๆที่รัฐบาลมีหนี้สินเยอะ "เพราะรัฐบาลเขาอุ้มคนรวย"
... ยังไม่นับการที่ “ไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก” และธนาคารในเครือต้องปล่อยเงินกู้ให้ประเทศทั่วโลกในดอลล่าร์เป็นส่วนใหญ่ ยิ่งทำให้บทบาทของเงินดอลล่าร์ยังคงค้ำฟ้าโลกการเงินมาตลอดอย่างยาวนาน
... “พันธบัตรอเมริกา” ยังเป็นเหมือน “ตัวประกันทางการเงิน” เพราะถ้าทั่วโลกมีดอลล่าร์ในคลังทั่วโลกมาก ก็จะไม่อยากให้ดอลล่าร์อ่อนมากเกินไป เพราะถ้าดอลล่ารร์อ่อนลง เงินที่พวกเขาลงทุนไปในพันธบัตรก็จะน้อยลงตาม ประเทศทั่วโลกที่เก็บดอลล่าร์จึงไม่อยากให้ดอลล่าร์อ่อนลงมากนัก
... วงจรการเงินของโลกเป็นมาแบบนี้ตลอดหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ดังนั้นจึงเกิด “ความไม่สมดุลทางการเงินไปทั่วโลก” หรือ Global Financial Imbalance ที่หลังจาก ปี 2008 เป็นต้นมา “จีน รัสเซีย บราซิล อินเดีย อาฟริกาใต้” พยายามจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงในสิ่งนี้ เป็นการปลดบ่วงโซ่ตรวนจาก “เผด็จการทางการเงิน” ที่โหดร้ายกว่าทุกๆแบบของเผด็จการ
... โดยหนึ่งในตัวแปรคือ “พันธบัตรรัฐบาลอเมริกา” ที่ประเทศเหล่านั้น จีน รัสเซีย อินเดีย ตุรกี อิหร่าน พยายามลดการซื้อลง “รัสเซีย” สองสามปีหลัง 2016 – 2019 เทขายพันธบัตรอเมริกาทิ้งแบบไม่เหลือซาก เป็นการนำร่องทำตัวอย่างให้ประเทศอื่นๆดู ขณะที่ “จีน” ก็พยายามทำแบบเนียนตาและลดลงเรื่อยๆ
... ในเวลาเดียวกัน “ตัวแปรที่สอง” นั้น “จีน” “รัสเซีย” ก็พยายามสร้าง “ธนาคารของกลุ่มใหม่” ของตัวเอง ที่มีการก็ยืมเงินในสกุลอื่นๆ ที่ไม่ใช่ดอลล่าร์ เมื่อกู้เงินสกุลอื่นๆ บทบาทของดอลล่าร์ก็จะลดลงเรื่อยๆ
... “ตัวแปรที่ 3” การซื้อขายน้ำมันด้วยเงินสกุลอื่น ที่ไม่ใช่ดอลล่าร์ ทั้ง รัสเซีย จีน อินเดีย อิหร่าน ตุรกี และหลายๆชาติ เริ่มจะซื้อขายน้ำมันด้วยเงินสกุลอื่นๆมากขึ้น อย่างช้าๆ รวมทั้งทองคำด้วย เพื่อจะลดบทบาทของดอลล่าร์ลงให้เหมือนช่วงที่ญี่ปุ่น เยอรมัน กำลังรุ่งช่วง 1960 -1970
... “ตัวแปรที่ 4” การใช้พลังงานสะอาดและรถยนตร์ไฟฟ้า นักการตลาดและนักเศรษฐศาสตร์ บอกว่าในไม่กี่ปีข้างหน้า การใช้น้ำมันจากซากฟอสซิลทั่วโลกจะน้อยลงมาก โดยพลังงานสะอาดจะมีผลกระทบในหลายวงการ ที่พัฒนาไปพร้อมๆกับการพัฒนาแบตเตอร์รี่ที่เก็บพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมหาศาลและราคาถูกลง “จีน” จึงเป็นผู้นำในด้านนี้อย่างสุดตัว หนึ่งคือตัวเองมั่นคงทางพลังงานด้วย สอง คือต้องการลดการเป็น “เผด็จการทางการเงินของดอลล่าร์” ให้ได้ เพื่อลด “ความไม่สมดุลทางการเงินของโลก” โดยจีนมีการผูกเงินตัวเองกับทั้ง ทองคำและน้ำมันด้วย
... “พันธบัตรอเมริกา” นั้นทั่วโลกสนใจซื้อน้อยลง ข่าวล่าสุด ธนาคารกลางทั่วโลกต่างเร่งกว้านซื้อทองคำมาเก็บอย่างเร่งด่วนในจำนวนมากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา “อเมริกา” จึงดิ้นสุดตัว ในการทำให้ “น้ำมัน” กลับมาเพื่อจะให้เป็นตัวเร่ง บีบ ให้ทั่วโลกเก็บสะสม “เงินดอลล่าร์” อีกครั้งหนึ่ง โดยการ “สร้างสงคราม” และความขัดแย้งไปทั่วโลก
... เพราะในสงครามโลกที่ผ่านมา พลังงานโดยเฉพาะ “น้ำมัน เป็นเสบียงในการรบหรือการอยู่รอดที่สำคัญที่สุด” และส่วนใหญ่ยังต้องซื้อผ่านสกุลเงินดอลล่าร์มากกว่าใคร
... หลายประเทศที่เป็นผู้นำโลกในการเดินหนีเงินดอลล่าร์ จึงมักมีอันเป็นไป เช่น กรณี ฮ่องกง ไต้หวัน กับจีน หรือ ยูเครน ไครเมีย จอร์เจีย กับรัสเซีย เคิร์ดกับตุรกี อิหร่านกับการถูกคว่ำบาตร หลายๆชาติที่คิดจะเดินหนีดอลล่าร์มักจะประสบกับการก่อการร้าย หรือ การโจมตีไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เป็นการลงโทษและตบเด็กที่หลังบ้าน เพราะหน้าบ้านพวกเขาทำตัวเหมือนพ่อพระใจบุญรักโลก
... “ความไม่สมดุลทางการเงิน” หรือ “ความไม่เท่าเทียมทางการเงินของโลก” กำลังจะถูกแก้ไขปฏิรูปโดยประเทศที่ต้องการปลดแอกจากความเป็นทาส
... สถานการณ์ในตอนนี้ 2019 มีความคล้ายกับช่วงการเงินโลกในปี ก่อนปี 1971 มาก ที่ทั่วโลกตอนนั้นเทเงินดอลล่าร์เพื่อสะสมทองคำในตอนนั้น “ฝรั่งเศส” นำ แต่ปี 2019 นี้ ทั้ง “จีน และ รัสเซีย” นำ ในการเทเงินดอลล่าร์ และ พันธบัตรอเมริกา ลดการใช้น้ำมัน ใช้พลังงานสะอาด และกู้เงินจากธนาคารนอกเครือไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก หันไปหาธนาคารบริกส์ หรือ AIIB แทน
... ประวัติศาสตร์ช่วงก่อนปี 1971 จะกลับมาอีกครั้งในหลังปี 2019 นี้ ไม่ช้าก็เร็ว
Cr.Jeerachart Jongsomchai
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you