สัปดาห์ที่ผ่านมา เม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ไทยอย่างต่อเนื่อง รวม 4 วันทำการ (4-7 มิ.ย.) ซื้อสุทธิ 2 ตลาดรวมกันมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท โดยมีปัจจัยเรื่องแนวโน้มการปรับลด อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
เป็นตัวกระตุ้น บวกกับสถานการณ์ ค่าเงินบาทที่ "แข็งค่า" ยิ่งดึงดูดให้ต่างชาติ เข้ามาลงทุน เพราะได้ "กำไร 2 ต่อ"ทั้งกำไรจากการลงทุน และกำไรจากอัตรา แลกเปลี่ยน
อย่างไรก็ตามการไหลเข้า ของเงินต่างชาติครั้งนี้ ยังมีคำถามอยู่ว่า เงินทุนเหล่านี้จะยังคงไหลเข้ามาต่อเนื่องหรือไม่ เป็นการเข้ามา "พักเงินชั่วคราว"หรือ "อยู่ยาว"อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการ สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด มองว่า ทิศทางเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในระยะสั้นจะ "ชะลอ" การซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย เพื่อรอดูโฉมหน้าของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรอรัฐบาลใหม่แถลงนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงติดตามประเด็นสงคราม การค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และมีโอกาส ที่ต่างชาติจะขายหุ้นไทยออกมาบ้าง หลัง ที่ผ่านมามีการซื้อต่อเนื่องหลายวัน แต่เชื่อว่า การขายคงไม่มาก
ส่วนภาพระยะยาว เชื่อว่าเม็ดเงินต่างชาติจะเข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่าปีนี้มีโอกาสเห็นต่างชาติซื้อสุทธิ 50,000-100,000 ล้านบาท เพราะหากการเมืองไทยนิ่ง ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี "เป็นที่ยอมรับ" สร้างความเชื่อมั่นแก่ นักลงทุน มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เดินหน้าลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นปัจจัยบวกหนุนบรรยากาศการลงทุน ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศมีทิศทางผ่อนคลายจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงอาจจะ นำมาตรการ QE กลับมาใช้ จะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้น เกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทย
ส่วนปัจจัยสงครามการค้านั้น ยังคาดการณ์ ลำบากเชื่อว่าจะยังไม่มีข้อสรุปในช่วง การประชุม G20 และสหรัฐอาจมีการ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ แต่เชื่อว่าปัจจัยสงครามการค้า จะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ เพราะปีหน้าสหรัฐจะมีการเลือกตั้ง ประเด็นนี้จะมีผลกระทบ ต่อคะแนนเสียงของนายโดนัลด์ทรัมป์ จึงมองว่าตลาดหุ้นไทยจากนี้จะผันผวน ตามปัจจัยที่เข้ากระทบ มองเนวรับ ที่ระดับ 1,580-1,600 จุด แต่ยังคงเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ 1,750 จุด
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการ ผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ มองว่า ปัจจุบันเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในไทยทั้งตลาดหุ้น อนุพันธ์ และตราสารหนี้ไทย โดยตั้งแต่ ต้นปีถึงวันที่ 6 มิ.ย. ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 5.6 พันล้านบาท มีสถานะ Long ใน ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) 6 หมื่นสัญญา และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) ระยะยาว 2.6 หมื่นล้านบาท และซื้อบอนด์ระยะสั้น 2.1 หมื่นล้านบาท
ส่วนเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ 1.เฟดมีการ ลดดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินไหล เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยปัจจุบันตลาดมองว่ามีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย ถึง 90 % โดยเร็วสุดจะเป็นการประชุม ในวันที่ 18-19 มิ.ย.นี้ หรือไม่จะเป็นการประชุม ในเดือนก.ย.และ 2. ทิศทางค่าเงินดอลลาร์ หากดอลลาร์อ่อนค่าเม็ดเงินไหลเข้ามา ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ และตลาดหุ้นไทยเพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดบอนด์ซึ่งปัจจุบันบอนด์ยีลล์ 10 ปี อยู่ที่ 2.12 % ทำให้ไม่มีแรงจูงใจเข้าลงทุน
"ยังประเมินลำบากว่าต่างชาติจะซื้อสุทธิ ปีนี้เท่าใด ซึ่งในปีที่ต่างชาติซื้อสุทธิสูงสุด อยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท โดยเชื่อว่าปีนี้คงไม่ถึง ระดับดังกล่าว ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทย จากนี้ไซด์เวย์ถึงไซด์เวย์อัพ มองกรอบดัชนีปีนี้ที่ระดับ 1,600 จุด แนวต้านที่ระดับ 1,700 จุด"
ทางด้านค่าเงินบาท ที่เปิดสัปดาห์สถิติแข็งค่ามากสุดในรอบ 3 เดือน และแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคนั้น จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย มองว่า ในสัปดาห์หน้าค่าเงินจะยังคงเคลื่อนไหว ตามประเด็นเรื่องสงครามการค้า แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ และค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าเป็นประเด็นหลัก
ส่วนเงินบาทนั้น เชื่อว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบที่แคบลงตามแนวโน้มสกุลเงินเอเชียแต่เชื่อว่าจะไม่อ่อนค่ามากเนื่องจาก นักลงทุนต่างชาติยังคงมีแนวโน้ม กลับเข้าลงทุนทั้งหุ้นและบอนด์ไทยจากภาพการเมืองที่เดินหน้าได้ มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 31.00-31.50 บาท ต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี ทั้งปีนี้ยังมองกรอบเงินบาทปีนี้ 30.8-31.8 บาทต่อดอลลาร์ มีทิศทาง แข็งค่าขึ้น จากเดิมมองไว้ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีมุมมองไตรมาส 3 ของปีนี้เป็นช่วงที่ต้องระวัง เพราะสงครามการค้าน่าจะรุนแรงขึ้น สินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสถูกเทขาย และเงินบาทรวมถึงสกุลเงินตลาดเกิดใหม่มีโอกาสอ่อนค่ากลับขึ้นไป
ส่วนในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ยังเชื่อว่า สหรัฐและจีนจะหาข้อตกลงระยะสั้นกันได้ แต่จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง สวนทางกับเศรษฐกิจไทยที่จะกลับมา เดินหน้าต่อ เงินบาทจึงน่าจะมีทิศทาง แข็งค่าได้อยู่ ด้านนโยบายการเงิน เชื่อว่า ช่วงที่เหลือของปีทั้งเฟดและธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท).จะ "คงดอกเบี้ย"เราเชื่อว่าเฟดจะรับมือแรงกดดันของตลาด ด้วยการปรับ Forward Guidance ให้ ส่งสัญญาณว่าดอกเบี้ยขาขึ้นจบลงแล้ว และ อาจพิจารณาเอา QE กลับมาใช้อีกครั้ง
Source: กรุงเทพธุรกิจ
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you