มันก็ไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะจริงๆแล้ว Uber ก็ไม่ได้มีผลกำไรอะไรนักหรอก ใน filing ตอนทำ IPO ก็แจ้งแล้วว่า บริษัทอาจไม่ได้สร้างกำไร เพราะ operating cost ของบริษัทมันสูงจนเดาไม่ถูก
อย่างที่เราเคยทราบกันแล้ว Uber ไม่ใช่รายเดียว บริษัทไฮเทคที่ห้วสูงสูญเงินของนักลงทุนไปแล้วนับไม่ถ้วน เร็วกว่าไฟป่าที่แคลิฟอร์เนียซะอีก เช่น:
Snapchat, Lyft, Tesla, WeWork, etc.
แล้วก็มี Netflix ซึ่งกำลังมาแรง..อยู่ในฐานะทางการเงินที่แย่ที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้
ในทางเทคนิค Netflix มีกำไร ..บริษัทแจ้งผลกำไร $1.2 พันล้านในปี 2018 ...แต่ปีศาจร้ายมันอยู่ในรายละเอียดต่างหาก
ผลกำไรหลังหักภาษี คือกำไรสุทธิ ...ซึ่งในหลายกรณี มันถูกปั่นทำให้สับสนได้ง่ายๆโดยหลักการทางบัญชี .มันไม่เมคเซนส์เอาเลยในโลกปัจจุบัน
ตัวชี้วัดที่น่าเชื่อถือได้อีกตัวหนึ่ง คือ Operating Cash Flow กระแสเงินสดจากการดำเนินการ (OCF กำไรที่เป็นเงินสดในมือ..ผู้แปล)
OCF จะเป็นตัวกรอง gimmicks ต่างๆทางบัญชี และโฟกัสว่าบริษัททำเงินได้เท่าไหร่กันแน่
และ Netflix นี่แหละที่มี OCF ติดลบ ..และติดลบมาหลายปีแล้วด้วย
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ Netflix สูญเงินไปมาก ที่เห็นได้ก็คือการลงทุนนับพันล้านดอลล่าร์สร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ จึงติดหล่มหนี้ลึกลงไปทุกๆปี
แต่ในผลประกอบการก็แสดงถึงกำไรขั้นต้น (ถึงแม้ cashflow จะติดลบ) Netflix จึงต้องจ่ายภาษี
บริษัทอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ขนาดนี้ แต่หุ้นก็ยังเป็นหุ้นยอดนิยมของโลกอยู่ขณะนี้
แล้วมันก็ไม่ใช่หุ้นตัวเดียวที่เป็นอย่างนั้น ..ตลาดหุ้นสหรัฐเวลานี้ราคามันเกินมูลค่าไปมากๆ (overvalued) เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา
ตัวชี้วัดหนึ่งของตลาดก็คือ CAPE (Cyclically-Adjusted Price/Earning) ratio (ค่า p/e เฉลี่ยระยะยาว...ผู้แปล)
CAPE ratio คือตัวชี้ว่านักลงทุนยินดีจ่ายเท่าไหร่ สำหรับกิจการที่สร้างกำไรเฉลี่ยระยะยาว..มากแค่ไหน
CAPE ratio ที่ผ่านมาตั้งแต่ยุค 1800s อยู่ที่ประมาณ 15.6 ..นั่นหมายถึงว่า นักลงทุนยอมจ่ายถึง $15.6 สำหรับกิจการที่ทำกำไรเฉลี่ย $1
แต่ในช่วงหลายปีมานี้ นักลงทุนยอมจ่ายประมาณ 30-34 เท่าของผลกำไรที่บริษัททำได้ ..นี่หมายถึงบริษัทใน S&P500
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขายอมจ่ายเป็นสองเท่าของอัตราเฉลี่ยในอดีต สำหรับกิจการที่มีผลกำไรเท่าๆกัน
ในอดีตที่ไม่ไกลเกินไปนัก ..CAPE ratio เคยขึ้นสูงแบบนี้มาสองครั้ง: ก่อนเหตุการณ์ฟองสบู่ดอทคอมแตกเมื่อปี 2000 และก่อนเหตุการณ์ตลาดหุ้นพังเมื่อปี 1929
ทั้งสองเหตุการณ์ ตลาดหุ้นตกไปมากกว่า 50% หลังจากนั้น
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ ..correction แบบแรงๆ..มันเลยเวลาไปนานแล้ว (overdue)
แต่การลงทุนไม่ใช่มีแค่ตลาดหุ้นหรือพันธบัตรในสหรัฐเท่านั้น
โลกนี้กว้างใหญ่นัก โอกาสการลงทุนมีอีกหลายแห่ง เช่นในอุซเบกิซสถาน
หลังจากอยู่ในอำนาจมา 25 ปี ..จอมเผด็จการตั้งแต่ยุคหลังโซเวียตก็เสียชีวิตเมื่อสองปีก่อน ผู้สืบทอดอำนาจสร้างเซอร์ไพร้ส์ โดยปฏิรูปเป็นตลาดเสรี ลอยตัวค่าเงิน เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ และแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
มีกิจการหลายแห่งในประเทศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ที่มี p/e ratio แค่ 2 หรือ 3 เท่านั้น
หรืออย่างในโคลอมเบีย มีกิจการเล็กๆที่สามารถซื้อได้แค่ 0.5 เท่าของกำไรที่ทำได้
กองทุนของเราได้เข้าซื้อกิจการแห่งหนึ่ง Kitagawa Industries เป็นบริษัทเก่าที่มี cashflow ที่ดี ราคาหุ้นของทั้งบริษัทน้อยกว่าจำนวนเงินสดที่บริษัทมีอยู่ในแบ้งค์เสียอีก
เราจ่ายไป 76 เซนต์ ต่อเงินสดทุกๆ $1 ที่บริษัทมีอยู่ในแบ้งค์ นี่ยังไม่ได้พูดถึงทรัพย์สินอื่นๆ และกำไรของบริษัท
Kitagawa Industries เป็นบริษัทที่ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อมาก่อน มันไม่ดังแบบ Uber หรือ Netflix ...แต่การลงทุนคือการทำกำไร ดังนั้น Kitagawa Industries จึงน่าจะเป็นดีลที่ดีกว่า
การซื้อบริษัทที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าของทรัพย์สินที่จับต้องได้ของบริษัท หรือดีกว่า ทำให้แทบจะไม่มี downside เอาเลย
มาถึงตอนนี้ Kitagawa ทำกำไรให้กองทุนของเราถึง 249% ในเวลาแค่17 เดือน
Bottom line : โลกนี้กว้างใหญ่นัก ยังมีของถูกอยู่อีกมากให้ลงทุนได้โดยไม่ต้องเสี่ยงมาก
Cr.Sayan Rujiramora
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
#forex #ลงทุน #pepperstone #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you