รู้จัก 'Aramco' แห่งซาอุดีอาระเบีย

สัปดาห์ที่แล้ว Aramco ได้ออก IPO หุ้นกู้ใหม่มูลค่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ปรากฏว่าตลาดมีความต้องการหุ้นกู้ดังกล่าวอยู่ 1 แสนล้านดอลลาร์ คำถามคือเหตุใด Aramco จึงดูน่าสนใจขนาดนั้น จึงขอพาท่าน ผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ Aramco แห่งซาอุดีอาระเบีย

Aramco เป็นบริษัทที่ทำกำไรมากที่สุด ในบรรดาบริษัทน้ำมันในโลก โดยทำ กำไรมากสุด 111 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2018 และมีแผนที่จะ IPO เข้าตลาดหุ้น คาดว่า จะเป็นสหรัฐและฮ่องกงในปี 2021 แต่เดิมตั้งแต่ปี 1930 Aramco เป็นบริษัทของสหรัฐ ที่รับงานด้านวิศวกรรมและโครงการต่างๆ ให้กับรัฐบาลซาอุฯโดยที่ไม่ได้ผลตอบแทนเป็นตัวเงิน ทว่าได้สิทธิในหลุมน้ำมันดิบบางส่วน โดยการทำธุรกิจในรูปแบบนี้ ทำต่อเนื่องกันมาจนถึงกลางทศวรรษ 1980 ที่ Aramco กลายมาเป็นบริษัทสัญชาติซาอุฯ เต็มรูปแบบ ซึ่งรัฐบาลซาอุฯ จะแลกในส่วนเครดิตด้านภาษีเป็นการตอบแทนต่อ Aramco แม้กระทั่งจนถึงทุกวันนี้ รวมถึงค่าใช้จ่ายระหว่าง Aramco และรัฐบาลซาอุฯ ในหลายๆ ส่วน ก็ไม่ได้มีการบันทึกใน งบการเงินของ Aramco แม้จะมีธุรกรรมระหว่างกัน นอกจากนี้ Aramco ยังทำหน้าที่บริหารศูนย์วิจัยและมหาวิทยาลัยให้กับรัฐบาล

อย่างไรก็ดี หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า Aramco ของซาอุฯ มีกำไรจากน้ำมันดิบต่อบาร์เรลสูงกว่าคู่แข่งในความเป็นจริงแล้ว Shell และ Total ทำกำไรต่อหนึ่ง หน่วยน้ำมันดิบมากกว่า เนื่องจากค่า ธรรมเนียมและภาษีที่รัฐบาลซาอุฯ เก็บจาก Aramco มากกว่าคู่แข่ง ดังรูปที่ 1 แม้ว่า Aramco จะเป็นบริษัทน้ำมัน ที่ทำกำไรสูงสุดก็ตาม คราวนี้มาทำความรู้จักกับแหล่งน้ำมันตามธรรมชาติที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในโลกของซาอุฯ กันบ้าง หลุมน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า Ghawar ที่ถือเป็นแหล่งหลัก ของซาอุฯ นับตั้งแต่ที่นำขึ้นมาใช้เป็น กำลังการผลิตจริงในปี 1951 โดย ณ ปี 2003 มีการประมาณการว่าสามารถผลิตได้ ถึงครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตรวมของ ซาอุฯ หรือ 7% ของกำลังการผลิตของ ทั้งโลก

แม้ว่าทางซาอุฯ จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 10.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และยังให้ข้อมูลว่า Aramco สามารถผลิตได้ถึง 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ดี แหล่ง Ghawar ดูเหมือนว่าจะมีกำลังการผลิตลดลงเหลือ 3.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากที่เคยรายงานไว้ว่าผลิตได้ 5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2004 ทว่าแหล่งน้ำมันดิบหลุมอื่นๆ ได้เพิ่มกำลัง การผลิตมากขึ้น โดยหลุมน้ำมัน Shaybah ทางใต้ของซาอุฯ ใกล้กับชายแดนของประเทศ UAE และหลุมน้ำมัน Safaniyah ในอ่าวเปอร์เซีย นอกจากนี้หลุมน้ำมัน Khurais ซึ่งใกล้กับแหล่ง Ghawar ที่อยู่ทาง ตะวันออกของประเทศ มีการสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่เริ่มทำการผลิตในปี 2009 ด้วยกำลังการผลิต 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

โดยล่าสุด Aramco ได้ให้มุมมอง เกี่ยวกับอุปสงค์ของน้ำมันดิบว่าจะมีปริมาณสูงสุดในปี 2030 ทว่าการบริโภคจะเติบโตเฉลี่ย 0.5% ต่อปี ลดลงเป็นอย่างมากจาก 0.9% ระหว่างปี 2000-2017 โดยการขึ้นมาของยานยนต์ไฟฟ้าจะมาลดอัตราการเติบโตอุปสงค์ของน้ำมัน แต่ไม่ได้หยุดการเติบโต

นอกจากนี้ การเกิดขึ้นมาของกฎเกณฑ์ที่ใช้ควบคุม CO2 ที่ปล่อยออกมาจาก เชื้อเพลิงอย่างน้ำมัน จะนำมาซึ่งการลดการใช้น้ำมัน ทว่า Aramco จะได้รับผลกระทบค่อนข้างช้ากว่าคู่แข่ง เนื่องจากมีรายงานว่า Aramco ปล่อยของเสียสู่อากาศน้อยกว่าบริษัทน้ำมันแห่งอื่น โดยซาอุฯ ปล่อยของเสียจากเชื้อเพลิงน้อยกว่าเวเนซุเอลาถึง 3 เท่าตัว

ทั้งนี้ มีเกร็ดที่น่าสนใจต่างๆ เกี่ยวกับ Aramco ดังนี้ ความสำเร็จของ Aramco เป็นผลงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลและกษัตริย์ของซาอุฯ ด้วยการตัดสินใจของ Aramco ที่จะเปลี่ยนโฟกัสออกจากผลิตภัณฑ์น้ำมันดิบน่าจะส่งผลให้รัฐบาลเปลี่ยนรูปแบบของนโยบายการคลัง นั่นคือรัฐบาลซาอุฯ จะตัดสินใจนำเอาเงินทุนออกจากบริษัท ณ เวลาใดก็ได้ โดยระบบการปกครองของซาอุฯ ทั้งกษัตริย์และรัฐบาลอยู่เหนือกฎหมาย

แม้ว่า Aramco จะมีสิทธิต่อการขุดเจาะหลุมน้ำมันต่างๆ ผ่านการทำสัญญากับรัฐบาล ทว่ารัฐบาลยังมีสิทธิเหนือ Aramco ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามในอนาคต

Aramco เป็นกลไกหลักที่ทำให้ ซาอุฯ ยังเดินต่อไปได้ โดยเซกเตอร์น้ำมัน คิดเป็น 63% ของรายได้ทั้งหมดของรัฐบาลในปี 2017 สิ่งนี้ทำให้รัฐบาลซาอุฯ ต้องการให้ Aramco มีความเข้มแข็ง

แม้ Aramco จะสามารถทำกำไรได้มากที่สุดในบรรดาบริษัทน้ำมันทั่วโลก ทว่าก็ต้องจ่ายเงินให้กับรัฐบาลเยอะเช่นกัน ในปี 2018 Aramco ต้องจ่ายถึง 1 แสนล้าน ดอลลาร์ให้รัฐบาลซาอุฯ ในรูปแบบของภาษีเงินได้ นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่า royalty ให้กับรัฐบาลสำหรับน้ำมันทุกบาร์เรลที่ขายได้ ซึ่งในปัจจุบันต้องนำเข้ามาบันทึกใน บัญชีด้วย รวมถึงจ่ายเงินปันผลมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในรูปแบบของเงิน ปันผลที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีที่ จ่ายได้

ทั้งนี้ Aramco ขายน้ำมันให้กับ ตลาดในประเทศด้วยราคาที่ถูกมาก ตามนโยบายของรัฐบาล โดยเมื่อก่อน ไม่สามารถมาชดเชยค่าเสียโอกาสดังกล่าวจากรัฐบาล แต่เริ่มจากเมื่อปีที่แล้ว Aramco สามารถรับเงินค่าชดเชยจากรัฐบาลมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 11% ของรายได้รวม

ท้ายสุด Aramco เป็นผู้ขายวัตถุดิบให้กับ SABIC บริษัทปิโตรเคมีขนาดใหญ่ของซาอุฯ ด้วยราคาที่รัฐบาลกำหนด ซึ่ง Aramco กำลังจะเข้าซื้อกิจการของบริษัท SABIC ในสัดส่วน 70% จากกองทุนความมั่งคั่งแห่งประเทศซาอุฯ ในขณะนี้ ซึ่งไม่ปรากฏชัดเจนว่ามีการ จ่ายค่าเสียโอกาสด้านราคาของวัตถุดิบ ข้างต้นต่อ Aramco โดยรัฐบาลซาอุฯ หรือไม่

โดยสรุป Aramco เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่น่าจับตามากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่จะคาดว่าเข้าเทรดครั้งแรก หรือ IPO ในตลาดหุ้นที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดในโลกในปีหน้า นั่นก็หมายความ ว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงนั้นจะเป็นขาขึ้น เช่นกัน


คอลัมน์ มุมคิดมหภาค: ผศ.ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

Source: กรุงเทพธุรกิจ

Cr.Bank of Thailand Scholarship Students

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"