จีนงัดแผนตั้งรับ ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจยาว

เปิดฉากกันไปแล้วสำหรับการประชุมใหญ่ 2 สภาของจีนในสัปดาห์นี้ ทั้งสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติ (CPPCC) ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 3 มี.ค. และสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค. ท่ามกลางการจับตาของทุกฝ่ายว่า

รัฐบาลปักกิ่งจะประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรออกมา ในภาวะที่กำลังเจอศึกหนักนอกบ้าน จนทำให้คนในบ้านระส่ำกันอยู่ในขณะนี้ และอีกด้านก็คือ จีนจะผ่านกฎหมายอะไรใหม่ๆ ออกมา หลังจากที่ถูกมหาอำนาจต่างชาติกดดันอย่างหนักหน่วง มาตลอด

ผลที่ออกมาค่อนข้างจะตรงกับที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันก่อนหน้านี้ และก็มีที่ผิด(หวัง)ไปจากคาดการณ์เช่นกัน เมื่อยากระตุ้นของจีนงวดนี้ ยังถือว่าไม่แรงพอทั้งในแง่ของสรรพคุณตัวยาและปริมาณโดสที่ได้รับ และที่น่ากังวลก็คือ นายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียง ได้กล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า "จีนกำลังเผชิญการต่อสู้ อันยากลำบาก" ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนให้เตรียมพร้อมรับมือกับมรสุมที่อาจยังไม่จบในเร็วๆ นี้

ในการแถลงรายงานประจำปีของรัฐบาลในการเปิดประชุมสภา NPC หลี่ได้ประกาศเป้าหมายใหม่ในการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เคยประกาศกรอบเป้าหมายจีดีพีออกมา โดยกรอบเป้าหมายของปีนี้อยู่ที่ 6.0-6.5% จากเดิมที่เคยใช้กรอบ 6.5% เมื่อปีที่แล้ว

นั่นหมายความว่า สถิติจีดีพีโตต่ำสุดในรอบ 28 ปีของจีน ซึ่งทำไว้ที่ 6.6% เมื่อปีที่แล้ว มีโอกาสสูงที่จะถูกโค่นด้วยจีดีพีต่ำสุดในรอบ 29 ปี ในปีนี้ หรือหมายความว่า เรายังมีโอกาสที่จะได้เห็นข่าวร้ายของจีนออกมาอีกหลายยกหลังจากนี้

ส่วนยาที่จีนเตรียมเอาไว้สู้กับ ไข้หวัดอเมริกันงวดนี้ ก็ค่อนข้างจะเป็นไปตามที่หลายฝ่ายเก็งกันเอาไว้ก็คือ ช่วยแบบถูกโรค ตรงจุด ไม่หว่านแหเหมารวม และไม่ได้เอาเงินฟาดแก้ปัญหาเหมือนในอดีตที่เคยทำมา ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดทุนไม่ค่อยจะตอบรับกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนงวดนี้มากนัก

ปีนี้ หลี่ประกาศแผนปรับลดภาษีออกมาเหมือนปีที่แล้ว แต่เป็นการช่วยเหลือให้เฉพาะภาคธุรกิจเท่านั้น โดยเป็นแผนลดภาษีและค่าธรรมเนียมสำหรับเอกชน รวมเป็นวงเงินเกือบ 2 ล้านล้านหยวน (ราว 9.49 ล้านล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นจากแผนลดภาษี 1.3 ล้านล้านหยวน (ราว 6.17 ล้านล้านบาท) เมื่อปีที่แล้ว

ในจำนวนนี้ รวมถึงการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) โดยแวตสำหรับภาคการผลิตจะปรับลดจาก 16% เหลือ 13% และแวตสำหรับภาคการขนส่งและก่อสร้างจะปรับลดจาก 10% เหลือ 9% และจะลดค่าธรรมเนียมที่นายจ้างต้องจ่ายสมทบให้ลูกจ้าง เกี่ยวกับประกันสังคม เพื่อช่วยลดภาระให้บริษัทขนาดกลางลงมา ที่ส่วนใหญ่ต่างก็เจอผลกระทบสงครามการค้ากระอักกันมาถ้วนหน้า

นอกจากนี้ จีนยังมีเป้าหมายจะสร้างงานเพิ่มอีก 11 ล้านอัตรา ตามเมืองใหญ่ทั่วประเทศ และตั้งเป้าคงอัตราว่างงานในเขตเมืองใหญ่ไม่ให้ เกิน 4.5% ในระดับเดียวกับปีที่แล้ว

กระทรวงการคลังจีน ยังขยายโควตาการออกตราสารหนี้พิเศษนอกงบดุลของรัฐบาลท้องถิ่น เพิ่มเป็น 2.15 ล้านล้านหยวน (ราว 10.21 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก 1.35 ล้านล้านหยวน (ราว 6.41 ล้านล้านบาท) เมื่อปีที่แล้ว สำหรับการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นกลไกพิเศษในแบบฉบับสำหรับจีนโดยเฉพาะ เพื่อพยุงระดับการเติบโตของท้องถิ่นเอาไว้โดยไม่ให้ตัวเลขหนี้ไปโป่งที่งบดุล จนกลายเป็นข่าวร้ายฉุดความเชื่อมั่นกับปัญหาหนี้จีนขึ้นมาอีก และเป็นวิธีพิเศษที่จีนใช้มาตั้งแต่ปี 2015

หัวหน้ารัฐบาลปักกิ่ง ระบุว่า นโยบายการคลังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้จะเป็นเชิงรุกและหนักแน่นมากขึ้น โดยปีนี้รัฐบาลยังคงใช้สูตรตั้งงบขาดดุลเพิ่มขึ้น ด้วยการขยายการขาดดุลงบประมาณเป็น 2.8% ต่อจีดีพี เพิ่มขึ้นจาก 2.6% ของปีที่แล้ว แต่นโยบายการเงินจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง คือไม่ตึงหรือหย่อนมาก เกินไป และรัฐบาลจะไม่อัดสภาพคล่องมากเกินไป

ในด้านการเงินนั้น รัฐบาลจะเร่งการปรับลดสัดส่วนกันสำรองความเสี่ยง (RRR) ของธนาคารขนาดเล็กและขนาดกลาง เพื่อช่วยลดภาระของแบงก์ ให้แบงก์สามารถไปเพิ่มการปล่อยกู้ให้เอกชนขนาดเล็กอีก 30% ในปีนี้

เหล่านี้คือยากระตุ้นล็อตแรกของจีนที่ประกาศออกมาในการประชุมวันแรก ซึ่งยังต้องติดตามกันอย่าง ต่อเนื่องไปจนถึงกลางสัปดาห์หน้า เพราะยังมีส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามมาอีก เช่น การกระตุ้นบริโภคภายในประเทศ ที่มีสัดส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่าภาคการผลิตและส่งออก ซึ่งต้องตามดูว่าเมื่อสรุปรวบยอดออกมาแล้ว มาตรการทั้งหลายของจีนจะสร้างความสบายใจให้คนในประเทศได้มากพอหรือไม่

แต่นอกจากส่วนของการกระตุ้นเพื่อรับมือปัญหาเศรษฐกิจแล้ว อีกส่วนสำคัญที่หลายฝ่ายจับตาไม่แพ้กันก็คือ การให้นโยบายหรือผ่านกฎหมายใหม่ออกมาเอาใจต่างชาติ

สิ่งที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายสังเกตเห็นตรงกันอย่างหนึ่งก็คือ ปีนี้ จีนไม่มีการระบุชื่อยุทธศาสตร์ "เมดอินไชน่า 2025" ออกมาเหมือนกับที่เคยย้ำในอดีต

ยุทธศาสตร์นี้คือหัวใจสำคัญของจีนที่จะผลักดันเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ ทำให้จีนยกระดับจากโรงงานผลิตราคาถูกของโลก ไปสู่มหาอำนาจของระบบเศรษฐกิจใหม่ในยุคดิจิทัล แต่ก็เป็นหนามตำใจสำคัญสำหรับรัฐบาลต่างชาติโดยเฉพาะ "สหรัฐ" เช่นกัน เพราะจีนรุกคืบเอาจริงจนกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงแทนในสายตาต่างชาติ ทั้งการออกไปตะลุยกว้านซื้อธุรกิจไฮเทคในต่างประเทศ การออกกฎหมายกีดกันต่างชาติในบ้าน การไม่ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาเท่าที่ควร และการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี

การที่หลี่ไม่พูดถึงชื่อยุทธศาสตร์นี้ขึ้นมา นับเป็นสัญญาณ หนึ่งว่าจีนต้องการประนีประนอม ไม่พยายามจุดเชื้อไฟขึ้นมาอีกในยามที่การเจรจาต่อรองทางการค้ากับสหรัฐกำลังมีทิศทางที่ดี และอาจจบลงได้เบื้องต้นในการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดี สีจิ้นผิง และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ฟลอริดา ในวันที่ 27 มี.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม จีนก็ไม่ได้ทิ้งแผนการที่จะขยับขึ้นเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจยุคใหม่ไปเสียเลยทีเดียว เพราะการให้ความสำคัญกับภาคไอทีและอุตสาหกรรมใหม่นั้นยังคงแฝงอยู่ระหว่างบรรทัดของการแถลงแผนเศรษฐกิจครั้งนี้

อีกการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จีนยอมลงให้ต่างชาติก็คือ การเตรียมผ่านกฎหมายห้ามเจ้าหน้าที่รัฐเรียกร้องให้บริษัทต่างชาติถ่ายโอนเทคโนโลยีให้ เพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาดจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อร้องเรียนหลักที่จีนถูกหลายประเทศโจมตีมาก่อนหน้านี้

หนิง จีเจ้อ รองประธานสำนักงานวางแผนเศรษฐกิจของ ครม.จีน ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงข้อนี้จะถูกบรรจุอยู่ในกฎหมายการลงทุนของต่างชาติฉบับใหม่ในจีน โดยจะให้ความชัดเจนต่อระบบการลงทุนของต่างชาติในจีน ซึ่งนับเป็นการตอกย้ำหลังจากที่หลี่เค่อเฉียง ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า บริษัททุกแห่งในตลาดจีนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน

หากดูจากทิศทางเบื้องต้นเหล่านี้คร่าวๆ แล้วอาจพอบ่งชี้ได้ว่า จีนน่าจะพอรับมือพยุงปัญหาเศรษฐกิจในปีนี้ไปได้แบบอาจจะไม่เจ็บตัวหนัก แต่ก็ไม่ถึงกับสดใส และเป็นไปตามที่นายกฯ ระบุว่า จีนกำลังเผชิญการต่อสู้อันยากลำบาก เพราะศึกของจีนไม่ได้มีแค่แนวรบสงครามการค้ากับสหรัฐเพียงอย่างเดียว เช่น ศึกไอที ที่เป็นอีกเรื่อง และกำลังถูกสกัดในสงคราม 5จี รอบด้านอยู่ในขณะนี้ โดยที่เคสของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะจบลงอย่างไร

นอกจากนี้ การจะกระตุ้นเพื่อสู้ปัญหาเศรษฐกิจนั้นก็ยังมีข้อจำกัดไม่ให้เปิดแผลเก่าหรือสร้างแผลใหม่ขึ้นมาอีก เพราะจีนมีปัญหาเรื่องหนี้เป็นทุนเดิมอยู่ และยังต้องระวังเรื่องเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้นด้วย

การตั้งรับในครั้งนี้จึงเป็นเพียงการพยุงอาการตัวเองอย่างระมัดระวัง และยังต้องจับตาดูมรสุมระยะยาวของจีนหลังจากนี้อย่างใกล้ชิดต่อไปอีก

โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ

Source: Posttoday

Cr.Bank of Thailand Scholarship Students

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"