ที่มี JP Morgan เป็นหัวโจก พวกเขาปรึกษากันเรื่องวิธีการร่างกฏหมายยังไงให้ผ่านสภาคองเกรสได้ ...พวกเขาประชุมกันที่รีสอร์ทส่วนตัวที่ Jekyll Island, Georgia ของ Morgan ..เมื่อ 22 Nov 1910
ผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐ 2 คน Thomas Jefferson และ James Madison เชื่อว่า ธนาคารแห่งชาติ เป็นเรื่องที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ และคงต้องพบกับการขัดขวางอย่างแรงในสภา จึงยุติความคิดไปตั้งแต่ตอนนั้น
วุฒิสมาชิก Nelson Aldrich พ่อตาของ John D. Rockefeller Jr. และตาของ Nelson and David Rockefeller เป็นผู้มีอิทธิพลสูงในสภาคองเกรสตอนนั้น เขาเป็นประธานคณะกรรมาธิการการเงินในวุฒิสภา
Aldrich ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เสนอกฏหมายการก่อตั้งแบ้งค์ชาติต่อรัฐสภา วุฒิสมาชิก Charles Lindberg Sr. ต่อต้านกฏหมายฉบับนี้สุดๆ ..อย่างไรก็ตาม กฏหมายนี้ก็ผ่านจนได้ในวันก่อนคริสต์มาสอีฟ ในขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่ในสภาต่างกลับบ้านไปฉลองวันหยุด
Lindberg ประกาศว่า "พวกทรัสต์นี่แหละที่ทำให้เกิด panic ทางการเงินเมื่อปี 1907 จนทำให้คองเกรสต้องตั้งคณะกรรมาธิการการเงินขึ้น และมันนำไปสู่การก่อตั้งธนาคารกลางของเอกชน Federal Reserve ในที่สุด ...กฏหมายฉบับนี้ได้สร้างบริษัททรัสต์ขนาดยักษ์ขึ้นในโลก ...ปธน.เซ็นผ่านเมื่อไหร่ อำนาจเงินของรัฐบาลเงาจะกลายเป็นเรื่องถูกกฏหมายทันที นี่เป็นอาชญากรรมที่เลวร้ายสุดๆแห่งยุค...."
คำกล่าวของ Lindberg เป็นเหมือนคำทำนายที่สะท้อนข้ามยุคมาถึงปัจจุบัน
เมื่อปี 2009 Alan Greenspan อดีตประธาน Fed ให้สัมภาษณ์ว่า "..Fed เป็นหน่วยงานอิสระ ไม่มีหน่วยงานไหนของรัฐบาลจะมาสั่งลบล้างสิ่งที่ Fed ทำลงไปได้ ...แม้แต่ความเห็นของ ปธน. ด้วย.."
พูดอีกอย่างก็คือ Fed มีอำนาจแต่ผู้เดียวในการ..กำหนดอัตราดอกเบี้ย..ตั้งเป้าการเติบโตด้านการเงิน..พิมพ์เงินมากเท่าที่ต้องการ .....ทั้งหมดนี้ทำได้โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบจากฝ่ายบริหารหรือรัฐสภา
แต่ไม่ว่าจะทรงอำนาจหรือเป็นอันตรายมากขนาดไหน ..Fed ก็ยังไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์มากนักในยุคแรกๆ ..เพราะตั้งแต่ตอนก่อตั้งขึ้นมา Fed ก็ยังไม่สามารถเสกเงินจากกลางอากาศได้ เพราะดอลล่าร์ยังคงถูกผูกติดอยู่กับทองคำ ...จนมาเมื่อครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 นั่นแหละ ที่มีการพิมพ์เงินแบบ non-stop ได้.....
สหรัฐใช้มาตรฐานทองคำมาตั้งแต่ปี 1900 มีการกำหนดให้เงินหนึ่งดอลล่าร์เท่ากับทองคำหนัก 1.5 กรัม (23.22 เกรน) .....พอมาต้นปี 1933 สภาคองเกรสและ ปธน.รูสเวลท์มีการออกกฏหมายและคำสั่ง Executive Orders ที่มาเป็นซีรี่ส์ ...เพื่อแขวนการใช้มาตรฐานทองคำไปก่อน ยกเว้นแต่กับกรณีของต่างประเทศที่ต้องการแลกคืนทองคำ ...แต่ในประเทศ ยกเลิกทองคำในการชำระหนี้ และห้ามการถือครองทองคำเกินจำนวนที่กำหนดในหมู่ประชาชน
ถึงแม้ว่าพลเมืองทั่วๆไปในอเมริกาไม่สามารถเป็นเจ้าของทองคำหรือแลกคืนดอลล่าร์ได้ แต่ต่างประเทศยังสามารถแลกดอลล่าร์คืนเป็นทองคำได้ ...ปฏิบัติการแบบเผด็จการแบบนี้แหละ..ที่เป็นองก์ที่หนึ่งของฉากสุดท้ายในดราม่าเรื่องดัง ..Fiat Money.. ที่คนทั้งโลกพากันติดกับดัก..งอมแงมอยู่จนปัจจุบัน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ทุกประเทศก็ยังคงสามารถแลกเงินดอลล่าร์ที่มีในมือเป็นทองคำได้ นี่ทำให้ดอลล่าร์เป็นที่น่าเชื่อถือจนทุกประเทศเก็บไว้เป็นรีเสิร์ฟทุนสำรอง เพราะมีการประชุมนานาชาติที่ Bretton Woods ลงมติในสัญญาที่ peg ค่าของเงินทุกสกุลกับยูเอสดอลล่าร์ ซึ่งเป็นสกุลเดียวที่ยังคงอิงกับทองคำที่ พร้อมให้แลกคืนได้ ....นี่คือมาตรฐาน Gold Exchange Standard
อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 1971 ปธน.นิกสันช้อคโลกโดยการถอดปลั้กสัญญา Bretton Woods แต่ฝ่ายเดียว ..พอทำอย่างนั้น มันก็เหมือนส่งดาบให้กับ Fed ให้มีอำนาจแบบสุดๆ ในการควบคุมเศรษฐกิจทั้งของสหรัฐและทั้งโลกไปเลย ทีนี้ มันก็จะคุมทั้งอัตราดอกเบี้ย ปริมาณเงินในตลาด และการพิมพ์เงินโดยไม่ต้องมีมาตรฐานทองคำ หรือใครหน้าไหนมาคุมไว้อีกแล้ว
ยังไม่จบ..นอกจาก 'นิกสันช้อค' แล้ว ..รัฐมนตรีต่างประเทศตอนนั้น เฮนรี่ คิสซิงเจอร์รู้ดีว่าการยกเลิกสัญญา Bretton Woods จะทำให้ทั่วโลกไม่เชื่อถือและไม่อยากเก็บยูเอสดอลล่าร์เป็นรีเสิร์ฟอีกต่อไป ...และนี่จะทำให้สหรัฐบีบคอชาวโลกได้ไม่ถนัดมือ ..เฮนรี่เดอะเค จึงจัดให้มีการประชุมกับกลุ่มราชวงศ์ซาอุดิฯ เพื่อสร้างดีลเปลี่ยนโลก ..เป็นสัญญาที่ทรงอิทธิพลที่จะทำให้ดอลล่าร์เป็นที่ต้องการเก็บเป็นทุนสำรองต่อไป แถมยังจะอัพเลเวลให้กับ Fed ได้อีกด้วย
นี่คือระบบ Petrodollar ...แต่มันคืออะไรล่ะ
สหรัฐเสนอที่จะให้การปกป้องทางทหารต่อบ่อน้ำมันทั้งหมดของซาอุดิฯ และยังจะส่งมอบอาวุธ และสัญญาจะปกป้องต่อการรุกรานจากอิสเรลอีกด้วย
เพิ่อเป็นการแลกเปลี่ยน ซาอุดิฯสัญญาว่าจะขายน้ำมันในเทอมของเงินยูเอสดอลล่าร์เท่านั้น และยังสัญญาจะนำเงินที่ได้จากการขายน้ำมันลงทุนในตราสารหนี้ของสหรัฐ
นี่นอกจากจะเป็นการต้อนให้ทุกประเทศยังคงมีเงินทุนสำรองของประเทศเป็นยูเอสดอลล่าร์แล้ว ยังเป็นการคุมตลาดน้ำมันอีกด้วย ทั่วโลกถูกจับเป็นเป้านิ่งของสหรัฐ..แม้แต่พันธมิตรเองก็ไม่แฮ้ปปี้ ที่ตัวเองเป็นเหมือนลูกบิลเลียดที่ถูกจับไปใช้วางสนุ้คกลุ่มประเทศที่อยู่ตรงข้าม ..ดีลเปโตรดอลล่าร์นี้จับเอาโลกอยู่ในอุ้งมือเลย
ก่อนปี 1975 สมาชิก OPEC ทุกชาติ ตกลงกัน quote ราคาเป็นดอลล่าร์ และยินดีนำเงินที่เหลือใช้ลงทุนในพันธบัตรสหรัฐ เพื่อข้อแลกเปลี่ยนแบบเดียวกับซาอุดิฯ
ถ้าจะมองในมุมการสร้างความแข็งแกร่งให้กับจักรวรรดิ์อเมริกัน ระบบ "dollars for oil" ดีกว่าระบบ "dollars for gold" ซะอีก เพราะไม่ต้องคำนึงถึงกฏเกณท์มากมายของ gold standard เลย ...ฐานเงินดอลล่าร์ของสหรัฐสามารถเติบใหญ่ได้ในอัตราทวีคูณเอาเลย
พวกแบ้งเกอร์ทำแต้มไปได้ในยกนี้ ...โลกตกเข้าสู่กับดักเปโตรดอลล่าร์ได้ยังไงกัน? แต่ละประเทศทำอะไรกัน?
เมื่อต้องการดอลล่าร์เพื่อมาใช้ซื้อน้ำมันที่ขึ้นราคากันหนักตอนนั้น ทุกประเทศต้องพัฒนานโยบายชูธงการส่งออกไปสู่สหรัฐ ..พวกเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อเงินดอลล่าร์ ...สินค้าทุกชนิด..อาหาร..และทรัพยากรชั้นดีถูกส่งเข้าสหรัฐแลกกับเงินดอลล่าร์ที่พิมพ์ออกมาใหม่ๆ เพื่อใช้เป็นค่าน้ำมันจากตลาดโลก
นี่พอจะบอกได้ว่าสหรัฐได้อะไรบ้างจาก เปโตรดอลล่าร์
สหรัฐได้สองเด้งจากธุรกรรมของน้ำมันในตลาดโลก ...หนึ่ง ผู้ใช้น้ำมันทั่วโลกทำงานเป็นเบ๊รับใช้..ป้อนทุกอย่างให้สหรัฐเพื่อดอลล่าร์ ...สอง เงินได้จากการขายน้ำมันที่เหลือใช้ ก็กลับคืนสู่สหรัฐในรูปเงินกู้ระยะยาว ..ยังไม่ต้องพูดถึงการใช้น้ำมันของสหรัฐที่ซื้อจากตะวันออกกลางแบบฟรีๆ..ด้วยกระดาษเปื้อนหมึกที่พิมพ์เองหมาดๆ
เรื่องนี้ส่งให้ Fed เข้านั่งในที่นั่งคนขับของเศรษฐกิจโลก นี่เป็นเหตุผลที่สหรัฐและคนอเมริกันใช้ชีวิตเกินขั้นระดับเฉลี่ยของคนธรรมดาไปได้ ...สามารถสร้างหนี้และขาดดุลการค้านับล้านล้านดอลล่าร์ เพื่อกินของฟรีจากชาวโลกได้นานนับสิบๆปี
นิกสันและคู่หู คิสซิงเจอร์ ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรอยู่ฝ่ายเดียวต่อชาวโลกโดยไม่มีผล ..ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปถึง $850 โลกพากันลดค่าให้ดอลล่าร์มาตั้งแต่นั้น ..ก่อนนิกสันยกเลิกมาตรฐานทองคำ รัฐบาลสหรัฐพยายามรักษาค่าของทองคำไว้ที่ $35 มาตลอด
ตั้งแต่ปี 1972 เป็นต้นมา Fed บริหารนโยบายการเงินโดยพละการมาตลอด และผลของมันก็เลวร้ายมาตลอดเหมือนกัน
หลายปีมานี้ พวกเขาจำต้องเผยขอบข่ายกำลังที่มีของตัวเอง โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยเป็น 0% และให้เครื่องพิมพ์แบ้งค์เดินเครื่องต่อไป ..เงินออกมาท่วมโลกนับล้านล้านดอลล่าร์ ..พวกเขารู้ตัวดีว่านี่ใกล้จะ game over แล้ว ..หมดยุคครองโลกละ
เรามาย้อนดูอดีตกัน มันมีอีเว้นท์เป็นซีรี่ส์เลย ..เดือนมิถุนายน 1963 ปธน. จอห์น เอฟ เคนเนดี้เซ็นต์คำสั่ง Executive Order 11110 สั่งให้กระทรวงการคลัง (ไม่ใช่ Fed) ตราธนบัตร Silver Certificate โดยอิงกับ ซิลเวอร์ physical ที่มีอยู่ในคลัง
นั่นหมายความว่า ซิลเวอร์แท่งทุกๆออนซ์ที่มีอยู่ในคลังของกระทรวง รัฐบาลสามารถตราออกมาเป็นธนบัตรเพื่อใช้หมุนเวียน ..ดังนั้นจึงมีจำนวนธนบัตรถึง $4,000 ล้านชนิดราคา $2 และ $5 หมุนเวียนในตลาด และมีกำหนดให้ชนิดราคา $10 และ $20 ออกสู่ตลาดแล้ว
เคนเนดี้เหมือนกับจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ และกำลังส่งสัญญานบางอย่างให้ Fed
และแล้วก็ถึงวันที่ 22 Nov 1963 ...JFK ถูกลอบสังหาร ธนบัตรที่มีกำหนดออกก็ต้องเลื่อนไปไม่มีกำหนด ส่วนที่อยู่ในตลาดก็ถูกเรียกเก็บจนหมด ..แผนของเคนเนดี้ที่จะดึงอำนาจคืนจาก Fed ก็ต้องยุติ
เคนเนดี้หมายถึงใคร ตอนที่เขากล่าวว่ามีการวางแผนทำลายเสรีภาพของคนอเมริกัน ..หลายปีต่อมา วุฒิสมาชิก Daniel Inoye พูดถึงรัฐบาลที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งมา
"เรามีรัฐบาลเงา ที่มีกองทัพอากาศและกองทัพเรือของตัวเอง มีกองทุนของตนเอง ที่ไม่ต้องมีการตรวจสอบใดๆจากฝ่ายกฏหมายของบ้านเมืองเลย"
กรณีของซัดดัม ฮุสเซ็น ที่มีกึ๋นพอที่จะกล้าท้าทายอำนาจของเปโตรดอลล่าร์ และเราก็รู้กันดีแล้วถึงชะตากรรมของเขาและประเทศอิรัค ..ยังมีเรื่องของกัดดาฟี่กับธนาคารในอัฟริกาของเขา และเราก็รู้กันดีถึงชะตากรรมของเขาและลิเบียด้วย
ปูตินก็กำลังท้าทายเปโตรดอลล่าร์ผู้ยิ่งใหญ่ และรัสเซียก็มีน้ำมันมากพอจะเป็นแบ้คได้ด้วย แต่ตอนนี้เขากำลังเป็นเป้า จักรวรรดิ์อเมริกันไม่มีวันยอมคลายมือที่กำลังบีบคอเศรษฐกิจโลกง่ายๆหรอก นี่เป็นเรื่องของน้ำมันกับเปโตรดอลล่าร์แท้ๆเลย
แล้วยังอิหร่านอีกล่ะ ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับการครอบครองนุ้คหรอก ปากีสถานยังมีได้เลย ประเด็นคือ อิหร่านไม่เอื้อให้เปโตรดอลล่าร์ไปได้อย่างราบรื่น แค่นั้นเอง
สหรัฐบีบให้พันธมิตรของตนทำการแซงค์ชั่นรัสเซียและอิหร่าน พญาอินทรีกำลีงเริ่มจะเสียศูนย์ ..มาตอนนี้จีนเริ่มเข้าฉากมาแล้ว มารวมตัวกับทั้งรัสเซียและอิหร่าน .....เปโตรดอลล่าร์เริ่มนับถอยหลังแล้ว
เมื่อถึงวันตาย อเมริกาจะต้องเจอกับการคิดบัญชี ที่จะทำให้วิกฤติการเงินสองครั้งล่าสุดกลายเป็นงานปาร์ตี้ไปเลย ...ถึงวันนั้น ชาวอเมริกันจะได้รู้ว่า เพราะ Fed นี่แหละที่ทำให้พวกเขากลายเป็นขอทานไปเลย
Will Hart
********
The FED, the dollar, gold & the petrodollar
Democratic congressman (also a presidential candidate) Dennis Kucinich echoed Paul's statements while giving a speech on the House floor. He noted: "In 1913 the money power of the country was taken away from the people. By constitutional privledge it belongs with the congress. But it was given up in the Federal Reserve Act. The Federal Reserve is no more federal than Federal Express..."
At this juncture a brief history of the FED is in order.
The concept of a central bank was hatched and discussed, in secret, by a small group of wealthy, powerful bankers, JP Morgan chief among them. They discussed how to draft a bill that could get through congress at a clandestine meeting held at an exclusive hunting club, owned by Morgan, on Jekyll Island, Georgia.
[The date, November 22, 1910. keep that date in mind as it will come into play 53 years later.]
Founding fathers, including Thomas Jefferson and James Madison, believed that a "national bank" was unconstitutional. Knowing that they would face intense opposition in congress the 'group' chose to keep themselves and their scheme out of public view.
There was one non- banker in it, Senator Nelson Aldrich, the father-in-law of John D. Rockefeller Jr. and grandfather of Nelson and David Rockefeller. In fact, Aldrich was the most powerful man in Congress at that time. A member for 40 years, 36 of them in the Senate, he was also Chairman of the powerful Senate Finance Committee.
Aldrich was given the task of getting their national bank bill through congress. His efforts were met with intense opposition from Lindberg. Finally, in a bold stroke he managed to sneakily ram the bill through the day before Christmas Eve when most of congress was absent, back home in their districts to celebrate the holiday.
The day before the Federal Reserve Act passed, Congressman Charles Lindberg Sr. declared:
"The money trust deliberately caused the 1907 money panic and thereby forced Congress to create a National Monetary Commission which led to the ultimate creation of the privately owned Federal Reserve Bank. The Federal Reserve Act establishes the most gigantic monetary trust on earth. When the President signs the bill, the invisible government of the Monetary Powers will be legalized...The worst legislative crime of the ages..."
Lindberg's statement was prophetic and will be echoed decades later as we shall see.
The Federal Reserve Act (CH. 6, 38 Stat. 251, was passed December 23, 1913. Apologists who claim the FED is a government agency need to get the facts straight from the horse's mouth; and the America public, and the rest of the world, should no longer be confused.
In 2009, former FED chairman Alan Greenspan was interviewed on the PBS News Hour by anchor Jim Leherer. He asked, "what should the proper relationship be between the president and the chairman of the Federal Reserve?"
Greenspan replied," The FED is an independent agency...there is no other agency of government which can overrule actions that we take...those relationships don't frankly matter..."
In other words the FED has the sole power and authority to set interest rates, monetary growth targets, print as much money as it wants to, et al., without any input, supervision or real oversight by the president or congress.
The final proof, however, comes from another government source. The below quote is taken from "A Primer on Money", published by the Committee on Banking and Currency, U.S. House of Representatives, 88th Congress, 2d session, August 5, 1964, p. 75:
"The practical effect of requiring all purchases to be made through the open market is to take money from the taxpayer and give it to the dealers. It forces the Government to pay a toll for borrowing money. (Author's underline) There are six 'bank' dealers: First National City Bank of New York; Chemical Crop. Exchange Bank, New York, Morgan Guaranty Trust Co., New York, Bankers Trust of New York, First National Bank of Chicago, and Continental Illinois Bank of Chicago.
Those are all privately held banks. 'Pay a toll means that the FED turns a profit from its operations and that goes to the above banks.
As powerful and potentially dangerous as the early FED was it had nowhere near the absolute power it would posses by the latter part of the 20th century. When it was created the central bank was constrained because the dollar was backed by gold.
They could not print money out of thin air, as they do nonstop today.
The United States moved to a gold standard in 1900, making both gold and silver the legal-tender coinage of the United States, and guaranteed the dollar as convertible to 1.5 g (23.22 grains) of gold..
In early 1933, Congress and President Roosevelt implemented a series of Acts and Executive Orders which suspended the gold standard, except for foreign exchange; revoked gold as universal legal tender for debts; and banned private ownership of significant amounts of gold coin.
Though private citizens could no longer own gold or redeem dollars for it, the dollar was still convertible to gold if foreign nations so desired to redeem their dollars. In essence, those dictatorial acts set the stage for the final act in the fiat money drama that we are so thoroughly trapped in today.
After WWII, foreign countries could still convert their dollars into gold. That made the dollar the de facto global currency. However, that was not officially established until an international conference at Bretton Woods hammered out an agreement. The pact pegged all other currencies to the U.S. dollar; and they were thus still directly linked to the gold standard.
However, in 1971, then President Nixon shocked the world by unilaterally pulling the plug on Bretton Woods. By so doing he unwittingly handed the FED absolute power over the US and global economy. From that point on the Federal Reserve could set interest rates, money supply growth targets, and print money unrestrained by the gold standard, congress or anyone else for that matter.
But there was more to the "Nixon Shock", far more in fact. Nixon and his globalist sidekick, Secretary of State, Henry Kissinger, knew that their destruction of the international gold standard under the Bretton Woods arrangement would cause a decline in the artificial global demand for the U.S. dollar.
Fearing the US would lose its grip on the global economy they devised a scheme. In a series of meetings, Kissinger and the Saudi royal family cut a world- transforming deal, a powerful agreement that kept the dollar as the reserve currency. It would also ratchet the FED's power up to an even higher level.
Today, we refer to it as the petrodollar system. What exactly does that term mean?
In short, the United States offered military protection to Saudi Arabia's oil fields. The U.S. also agreed to provide the Saudis with weapons, and perhaps evem importantly, guaranteed protection from aggressive acts by Israel.
In exchange the Saudis agreed to price all of their oil sales in U.S. dollars only. (In other words, the Saudis could only accept the U.S. dollar, as payment for their oil exports.) In addition, and this goes straight back to the FED, the Saudis also agreed to invest their surplus oil proceeds in U.S. debt securities.
In effect, with a bold stroke the US dollar maintained its reserve status but this time due to oil and geopolitical realities. The world was caught off guard and even US allies were not happy about being snookered. The petrodollar deal effectively trapped the rest of the world into a, de facto, use of the dollar as the global reserve currency.
By 1975, all of the oil-producing nations of OPEC had agreed to price their oil in dollars; and to hold their surplus oil proceeds in U.S. government debt securities, in exchange for deals similar to that offered the Saudis.
From the perspective of American Empire consolidation, this new "dollars for oil" system was much more preferred over the former "dollars for gold" system as its economic requirements were much less stringent. Without the constraints imposed by a rigid gold standard, the U.S. monetary base could be grown at exponential rates.
The banksters scored the final coup! How was the world put into check and trapped by the petrodollar?
In need of dollars to buy oil many countries opted to develop an export-led strategy with the United States; they did this in order to exchange their goods and services for the U.S. dollars required to purchase oil in the global markets.
Now, exactly in how many different ways does the US most benefit from the petrodollar?
In essence, America receives a double loan out of every global oil transaction. First, oil consumers are required to purchase oil in U.S. dollars. Second, the surplus profits of the oil-producing nations are then put into U.S. government debt securities held in Western banks.
The petrodollar system also provides at least three other instant benefits to the United States.
It increases global demand for U.S. dollars
It increases global demand for U.S. debt securities
It gives the United States the ability to buy oil with a currency it can print at will, which the FED has been doing for 6 years.
This essentially puts the FED in the global driver's seat. In addition, it is the reason that America has been able to live beyond its means and rack up trillions of dollars of debt and run massive trade deficits, for decades, all at the same time.
Nixon and Kissinger's unilateral actions were not without consequences however. The price of gold shot up to $850. The world wisely devalued the dollar and in a hurry and has largely been doing so ever since. The US government had controlled the price at $35 an ounce when it was backed up by gold.
As we have seen, from 1972 on the FED has been able to arbitrarily set monetary policy and the results have been disastrous.
In recent years they have actually revealed the true extent of their powers by unleashing 0 interest rates and leaving the printing press button stuck ON, essentially flooding the world with trillions of dollars. The endgame is at hand, the goal... complete global dominion.
At this point we need to go back in the chronology and insert a very important series of events. It is June, 1963 President John F Kennedy signed Executive Order 11110. The order instructed the Treasury Department (not the FED), "to issue silver certificates against any silver bullion, silver, or standard silver dollars in the Treasury."
This meant that for every ounce of silver in the U.S. Treasury's vault, the government could introduce new money into circulation based on the silver bullion physically held there. As a result, more than $4 billion in United States Notes were brought into circulation in $2 and $5 denominations and $10 and $20 notes were due to be released...
Kennedy was trying to set a new precedent and he was giving the FED a message.
Then on, November 22 1963 JFK was shot and killed and those larger notes were never released. Note the date of his assassination, is it really by coincidence that it should occur exactly 53 years to the day of the secret meeting held on Jekyll Island by the plutocrats?
The $10 and $20 certificates were being printed when JFK was killed. Not only were they never released, the smaller denominations were taken out of circulation. In essence, Kennedy was trying to take the reins from the FED and put the power of money back in the Treasury Department.
The message was clear. Who was JFK referring to when he claimed there was a plot to destroy American freedom that citizens needed to become aware of? Years later another war hero Senator Daniel Inoye would also refer to an unelected Government,
"There exists a shadowy Government with its own Air Force, its own Navy, its own fundraising mechanism, and the ability to pursue its own ideas of the national interest, free from all checks and balances, and free from the law itself."
Who is this unseen hand... is that really a mystery? There is only one rogue, private quasi-government agency hiding in plain sight- the FED. Inouye would never answer any further questions about what he knew after making that cryptic statement.
Then we turn to the case of Saddam Hussein who had the temerity to challenge the almighty petrodollar. We know what happened to his country and to him, case closed. Next, came Khaddafi and his African bank, we know what happened to his country and to him, case closed.
Now, we turn to Vladimir Putin and Russia. It ought to be clear now why the Ukraine erupted and why the US -- merely the proxy of the Shadow Government at this late stage -- has closed in on Russia and revived the Cold War?
Mr. Putin is challenging the almighty petrodollar and Russia has the oil to back it up. He is clearly in the crosshairs. The American Empire is not going to give up its stranglehold on the global economy. Forget about all the red- herring issues raised by western propagandists, the conflict is about oil and the petrodollar.
The same holds true for Iran. It is not about an Islamic country coming into possession of nukes, Pakistan has them. The real issue is Iran's ditching of America's key to the golden printing press, insured by the petrodollar. You never hear of Israel threatening to bomb Saudi Arabia, one of the main breeding grounds of Islamic terrorism.
Note that the US has forced its allies to place sanctions on both Russia and Iran. But the Eagle is losing its grip. Now that China is on the scene, in a big way, and cementing ties with both Russia and Iran, the petrodollars days are numbered.
When it dies America is going to face its day of reckoning, which will make the last two financial crashes and recessions look like balloon parties. Then Americans will realize, too late, that the FED has turned them into paupers...
Will Hart
Cr.Sayan Rujiramora
สนับสนุนข่าวโดย ICMarkets
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/