ในปี 1157 สาธารณรัฐเวนิสอยู่ในช่วงของสงครามและกำลังต้องการเงินอย่างสิ้นหวัง นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่รัฐบาลไหนที่ทำสงครามก็ต้องการเงิน ..แต่รัฐบาลเวนิสเริ่มใช้ไอเดียนี้เป็นรายแรก นั่นคือ....
ราษฎรคนใดก็ตามที่ให้เงินยืมต่อรัฐบาลจะได้รับเอกสาร certificate ที่ยืนยันว่ารัฐบาลจะจ่ายดอกเบี้ยให้ ...certificate นี้สามารถเปลี่ยนมือได้ ดังนั้นรัฐบาลจะจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนแก่ผู้ที่ถือครอง ณ เวลานั้นเท่านั้น
นี่ทำให้เอกสารการให้กู้ต่อรัฐบาลถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินระดับดีเยี่ยมหรือ asset-one ที่ขายต่อให้นักลงทุนอื่นๆได้ในอนาคต
และนี่คือพันธบัตรรัฐบาลหรือบอนด์ฉบับแรก แนวคิดนี้ได้สร้างตลาดการซื้อขายหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับนักลงทุนยุคนั้น
เมื่อใดที่รัฐบาลดวงซวยทำให้ผู้คนสงสัยว่าจะจ่ายดอกเบี้ยได้หรือเปล่า ราคาพันธบัตรก็ตก แต่เมื่อใดที่ประชาชนเกิดความเชื่อถือในรัฐบาล ราคาก็จะขึ้น
ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากทุกวันนี้เลย รัฐบาลก็ยังกู้ยืมโดยการออกพันธบัตร และมันก็กระจายเข้าสู่ตลาดที่มีนักลงทุนมากมายซื้อขายกันอยู่วันต่อวัน ราคามีการขึ้นลงตลอด
หนึ่งใน factor ที่กระทบราคาบอนด์ก็คืออัตราดอกเบี้ย เมื่ออัตราสูงขึ้น ราคาบอนด์ในตลาดก็จะตก เมื่ออัตราลดลง ราคาก็จะขึ้น มันจะเคลื่อนไหวตรงข้ามกันตลอด
ตอนที่รัฐบาลเวนิสเริ่มออกบอนด์เมื่อศตวรรษที่ 12 นั้น อัตราดอกเบี้ยมันสูงจนคนปัจจุบันช้อคเลย มันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 12% ถึง 20% ..ในฝรั่งเศสและอังกฤษยุคกลาง ดอกเบี้ยเคยสูงถึง 80% เลยทีเดียว
ไม่ต้องบอกเลยว่าพวกแบ้งค์เจ้าเล่ห์เข้ามายุ่งด้วยทันทีไม่นานหลังจากนั้น พวกนี้เรียนรู้เร็วมากว่าถ้าได้คุมหนี้รัฐบาลเอาไว้ได้ล่ะก็ นั่นคือการคุมอำนาจรัฐไว้เลยแหละ ...นายธนาคารจึงมีอำนาจเหนือรัฐบาลด้วยประการฉะนี้
ในหนังสือ History of the Businessman ของ Miriam Beard อธิบายไว้ว่า นักการเมืองในยุคกลางของรัฐ Genoa ในอิตาลี ต้องให้สัตย์ปฏิญานต่อเหล่าธนาคารก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งเลยแหละ ..นี่ ถึงขนาดนี้
นี่มันคือจุดเริ่มต้นของสัมพันธภาพที่ยาวนาน, ลึกซึ้งและการช่วยเหลือกันระหว่าง แบ้งค์กับรัฐบาล (ของไทยน่าจะเจ้าสัวกับรัฐบาล)
ธนาคารช่วยซื้อพันธบัตรรัฐบาล ช่วยสนับสนุนให้รัฐบาลมีเงินใช้ในแพ้คเกจต่างๆ ให้อยู่ในอำนาจ ...ส่วนรัฐบาลก็คอยช่วยอุ้มแบ้งค์ (bailout) ถ้ามันใกล้จะเจ๊ง .....ลองนึกถึงเหี้ยสองตัวที่ผลัดกันเกาหลังให้กันดูดิ จะได้เห็นภาพชัดเจน (ประโยคหลังนี้ไม่มีในต้นฉบับจ้า...อิอิ)
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ใช้เงินตัวเองเลย ..เงินของท่านๆทั้งสองกรณีเลย ..ธนาคารให้รัฐบาลกู้จากเงินฝากของท่าน ส่วนรัฐบาลก็ bailout ธนาคารจากเงินภาษีของท่าน
ตอนนี้มันก้าวไปอีกขั้นแล้ว พวกเขารวมหัวกันใช้วิธีพิมพ์เงินออกมาดื้อๆ.. ใช้ได้ทั้งสองกรณีเลย ...เมื่อเกิดวิกฤติการเงินสิบปีมาแล้วตั้งแต่ 2008 ธนาคารกลางทั่วโลกได้สร้างเงินออกมานับล้านล้านดอลล่าร์ ยูโร..เยน etc. ไว้ในมือของทั้งรัฐบาลและแบ้งค์ต่างๆ
US Federal Reserve เจ้าเดียวก็ล่อเข้าไปถึง $4 ล้านล้าน ส่วนใหญ่ให้รัฐบาลกลางสหรัฐกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดๆเป็นประวัติการณ์
และด้วยกฏของอัตราดอกเบี้ยกับราคาบอนด์ที่เรากล่าวถึงตอนต้น มันก็กำลังเกิดขึ้น
ตอนที่ Fed ทำ QE ซื้อพันธบัตรจากตลาดนับล้านล้านดอลล่า์เข้ามาเก็บไว้น่ะ เป็นช่วงดอกเบี้ยต่ำสุดๆ ราคาบอนด์ก็สูงสุดๆ
และแล้วในช่วงสองปีมานี้ Fed ก็มีเหตุให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างช้าๆ ..แต่ละครั้งที่ขึ้น ราคาของพันธบัตรที่ซื้อมาเก็บใน Balance Sheet ก็ลดลง
ฟังดูก็บ้าดี ตัวเองก็ขึ้นดอกเบี้ย ของที่ตัวเองซื้อมาเก็บไว้ก็ราคาตกลงไปเพราะดอกเบี้ยขึ้น ....ทำต่อไปเรื่อยๆก็เท่ากับสร้างความฉิบหายให้ตัวเองไปเรื่อยๆ
แต่มันก็เกิดขึ้นตามนั้นซะด้วยซี
เมื่อวานนี้เอง Fed ก็ได้ออกรายงาน financial statements ออกมาโชว์ให้เห็นว่าตอนนี้บอนด์ในมือที่ซื้อเข้ามาน่ะ ราคาหายไป $66,500 ล้านแล้ว นี่มันมากกว่าทุนของ Fed ที่มีอยู่ $39,000 ล้าน
หมายความว่า ถ้าตีราคาทรัพย์สินในมือตามมูลค่าตลาดหรือที่เรียกว่า mark-to-market แล้วล่ะก็ ...สถาบันการเงินที่สำคัญแห่งนี้น่ะ มันเจ๊งแล้วนะ
ประเทศนี้ปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งตั้งตัวเองเป็นคณะกรรมการที่ไม่ได้มีการเลือกตั้งเข้ามา สามารถเนรมิตเงินนับล้านล้านดอลล่าร์จากกลางอากาศ แถมทำตัวเองจนเจ๊ง แล้วก็มาสนับสนุนฐานะการคลังของประเทศ ทั้งหมดนี้จากหยาดเหงื่อแรงงานของเราๆท่านๆนี่เอง
ที่น่าแปลกก็คือ ไม่มีใครสังเกตุเห็นเลยหรือ ..ต้องให้หนังสือพิมพ์พาดหัวก่อนหรือว่า "Fed ล้มละลายแล้ว"
แต่ที่จริงแล้ว รัฐบาลของเกือบทุกประเทศโลกตะวันตกน่ะ มันล้มละลายหรือเจ๊งกันแล้ว
ทำราวกับว่า ไม่เป็นไรหรอก ที่รัฐบาลของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญที่สุดในโลกขาดดุลปีละ $1 ล้านล้าน ..เป็นหนี้ $22 ล้านล้าน ..มีหนี้ที่ไร้หลักประกัน unfunded liabilities อีกเกิน $30 ล้านล้าน ..มีหนี้เกินอัตรา debt-to-GDP ไปเกิน 100% อีกตาหาก
แล้วยังมีธนาคารกลางที่ล้มละลาย....โดยการคำนวนทรัพย์สิน mark-to-market ..จากรายงานที่ตัวเองประกาศเองนะนั่น
มันยากที่จะจินตนาการหาจุดจบของเรื่องนี้..จากกรณีที่มีข้อมูลแบบนี้จริงๆ
ความไม่รู้..การมองโลกแง่ดีแบบไร้เหตุผล..มักจะนำไปสู่...จุดสูงสุด..การตกต่ำ .... และ....วิกฤติ
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ..ไม่มีอะไรต่าง
Cr.Sayan Rujiramora
สนับสนุนข่าวโดย ICMarkets
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/