Globalist มีวิธีจัดการกับความคิดของผู้คนอยู่ 2 แบบ แบบแรกเป็นการสร้างเรื่องรุนแรงให้เกิดทันทีทันใด เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอาการช้อคและตื่นกลัว (shock & awe) ที่จะทำให้ฝูงชนยอมให้นำไปในทางที่ต้องการ ..แต่แนวนี้บางครั้งก็ไม่ได้ผล
กรณีที่มันอาจจะต้องใช้เวลามากจนผู้คนรู้ทันซะก่อน อีกแบบต้องใช้เวลาค่อยๆให้มีการซึมซับในหมู่ปวงชนที่อาจกินเวลาหลายๆปี จนคล้ายการสกดจิตหมู่ แนวทางนี้เป็นการปลูกฝังความคิดบางอย่างที่มักเป็นการทำลายล้าง ให้กลายเป็นอุดมคติส่วนตนเองของผู้คนทั้งหลายไปเลย (ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ที่มีอเมริกันเป็นฝ่ายดีตลอดกาลที่เราเฝ้าดูกันนับสิบๆปี..ผู้แปล)
แนวคิดหลอกลวงของเงิน cryptocurrency ก็เป็นแนวทางแบบเดียวกันนี้
นี่เป็น currency ที่อิงกับความว่างเปล่า ไม่มีทรัพย์สินใดๆที่มีค่าเป็นแบ้คเลย ใครๆก็สามารถเนรมิตเงินคริปโตจากกลางอากาศในแบบเดียวกับ bitcoin ได้ ...เทคโนฯนี้ไม่ได้สร้างมูลค่าแท้จริงให้เกิดขึ้นเลย และก็ไม่มีใครไปหยุดยั้งการเนรมิตเงินดิจิตัลนับพันๆสกุลแบบนี้ได้ด้วย ซึ่งในที่สุดแล้วมันก็มาชิงกันเองกับ bitcoin จนได้
จำนวนที่จำกัดของเงินคริปโตเป็นเรื่องหลอกลวง และในกรณีของการล่มสลาย
ของพลังงานไฟฟ้า (grid down scenerio) หรือแม้มี internet lock-down (ในกรณีที่ประเทศเกิดวิกฤติ) คริปโตหรือแม้แต่ blockchain ledger ก็เป็นอันเข้าไม่ถึง
การเทรดระหว่างกันในหมู่ private wallets ก็ไม่เมคเซนส์เท่าไหร่นัก จะมีสักกี่คนที่อยู่ใน community เดียวกันที่มี bitcoin wallet ...เวลาและพลังงานที่สูญไปในการเนรมิต digital nothings เหล่านี้ก็ดูจะไม่ productive นัก
คุณลักษณ์เด่นที่ทำให้ bitcoin ดูมีค่าก็ตรง branding ของมันที่มีการโปรโมทอย่างดี ..อีกอย่างหนึ่งก็คือการไม่ต้องเผยตัวตนเจ้าของ ซึ่งนี่ก็เป็นปัญหาทางข้อกฏหมายเมื่อปี 2009 ...และมาถึงตอนนี้ก็เป็นที่รู้กันแล้วว่า เงินดิจิตัลทุกสกุลใน blockchain ก็สามารถถูกตามร่องรอยได้แล้ว
ใครก็ตามที่วิจารณ์เทคโนโลจีนี้ ซึ่งไม่ว่าจะมีเหตุผลที่เป็นหลักเป็นฐานอย่างไรก็ตาม จะถูกโจมตีอย่างรุนแรง จะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็น "คนโง่ป่าเถื่อนไร้การศึกษาที่เป็นทาสของทองคำ" ..ที่โง่เกินกว่าจะเข้าใจในสิ่งที่ genious เท่านั้นที่รู้ ..ถึงการทำงานของ blockchain technology.....
ข้อมูลที่ปล่อยสู่สาธารณะไม่มีการสอบทาน ..การกล่าวอ้างถึงความไร้ตัวตนของเจ้าของถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ...แต่ราคา bitcoin ที่ขึ้นสูงลิ่วกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ฝ่ายผู้วิจารณ์นั่นแหละเป็นฝ่ายผิด
นักลงทุนจำนวนมากทำกำไรมหาศาลจาก bitcoin และเงินคริปโตตัวอื่นๆ ในชั่วขณะหนึ่ง แต่มาถึงวันนี้หลายคนสูญเงินไปไม่น้อยจากการที่ราคา bitcoin และอีกหลายตัวร่วงหนัก มันร่วงไปพร้อมกับหุ้นกลุ่มเทคโนฯ ..เพราะสินทรัพย์คริปโตทั้งหลายมีการเทรดกันเป็นฟองสบู่ในลักษณะเหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง ..ไม่ใช่สกุลเงิน
หลายคนที่ไม่ได้มองว่า bitcoin เป็นสกุลเงิน เคยเปรียบเทียบราคาที่ไร้เหตุผลของ bitcoin ว่ามันก็เหมือนกับการคลั่งดอกทิวลิปของดัทช์เมื่อหลายร้อยปีก่อน (หรือเหรียญจตุคามฯ ของไทย...ผู้แปล)
crypto currencies มีจุดประสงค์เข้ามาทำให้ผู้ที่จะสร้างทางเลือกใหม่ให้กับสถานการณ์ทางการเงินด้วยทองคำ เกิดการไขว้เขว ...ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผล bitcoin ไซฟ่อนเงินได้ส่วนหนึ่งซึ่งไม่น้อยให้ไหลเข้ามาในสิ่งไร้ประโยชน์ ..แทนที่จะใช้สร้างระบบที่จะมาคานกับอำนาจของธนาคารกลางได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาช่วงหนึ่ง กระแสคริปโตได้ทำให้แนวคิดของเงินดิจิตัลนี้ถูกกล่าวถึงในหมู่คนทั่วไป ซึ่งนี่ก็น่าจะเป็นจุดประสงค์อย่างหนึ่ง ...bitcoin หรือ coin ชนิดอื่นๆน่าจะออกมาเป็นการทดสอบ ก่อนที่จะมีเงินคริปโตที่เลวร้ายตัวจริงออกมาในอนาคต
แนวคิดทั้งหมดของเงินดิจิตัลเป็นไปดังที่อธิบายไว้ในเอกสารของ National Security Agency (NSA) ‘How To Make A Mint: The Cryptography Of Anonymous Electronic Cash.’ ฉบับพิมพ์เมื่อปี 1996
แล้วสถาบันของ Globalist อย่าง Goldman Sachs ก็ออกมาชื่นชมเงินคริปโตและเทคโนฯ blockchain ..ในที่สุดธนาคารกลางเองก็ค่อยๆขยับตัวในเรื่องนี้แต่ก็ยังทำเป็นไม่ค่อยเต็มใจนักที่จะพูดถึง
ถ้างั้นแผนทั้งหมดของคริปโตคืออะไรล่ะ ...ตอนนี้ International Monetary Fund (IMF) ได้ออกมาเปิดตัวแล้วถึงการชื่นชอบต่อ crypto technology ซึ่งนี่น่าจะเป็นการเปิดถึง เกมสุดท้ายไปสู่ new world order
ในเอกสารที่ออกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาของ IMF โดยนาง Christine Lagarde ในหัวข้อ "Winds of Change: The Case For New Digital Currency" IMF ให้เหตุผลว่าทำไมธนาคารกลางและ IMF จึงควรนำเงินคริปโตเข้ามาสู่อนาคตของนโยบายทางการเงิน
อย่างที่เคยมีการเตือนกันไว้แล้ว การเปลี่ยนมาใช้เงินคริปโตไม่ใช่เป็นการ "ปฏิวัติ" ต่อต้าน globalist เลย ..ตรงข้ามกลับจะเป็นการสนับสนุน globalist ที่จะข้ามไปยังเฟสต่อไปที่จะยังคงควบคุมเศรษฐกิจไว้ต่อๆไป
เมื่อปี 1988 The Economist ..นิตยสารของ globalist ได้ทำนายหรือที่ถูก ประกาศถึงระบบเงินสกุลใหม่ที่จะใช้ในปี 2018 อีก 30 ปีถัดจากนั้น มันชัดเจนว่านี่คือเงินคริปโตและ blockchain ...ระบบนี้เป็นการใช้เงิน Special Drawing Rights (SDR) เป็นสพานเขื่อมต่อไปยังเงินสกุลเดียวของโลก "Phoenix" ..ถึงแม้จะมีผู้ค้านว่า SDR ไม่ใช่สกุลเงิน
ในบทความเดียวกัน มีการรายงานว่าบทบาทของสหรัฐในฐานะที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก และบทบาทของดอลล่าร์ที่เป็นเงินทุนสำรองของโลก จะต้องลดลงเพื่อเปิดทางสดวกให้ระบบใหม่ของ new world order ซึ่งเราก็เริ่มจะได้เห็นแล้ว ..วิกฤติที่ใกล้จะเกิดขึ้นจะเป็นตัวที่ทำให้ตลาดหุ้นและตลาดบอนด์แครช หรือแม้แต่สถานะทุนสำรองของดอลล่าร์อีกด้วย..
ข้อเขียนของนาง Lagarde เหมือนเป็นเอกสารเสนอขายไอเดียให้กับสื่อ ซึ่งสื่อทั้งหลายก็เด้งรับ เสนอข่าวมากมายว่าเงิน global crypto ที่คุมโดย IMF นี่แหละคือทางออกของปัญหาทั้งหลายแหล่ของโลกที่กำลังเผชิญอยู่
แกนหลักที่จะเคลื่อนไหวไปสู่ global crypto คือการเน้นให้เกิดสังคมไร้เงินสด ซึ่งการค้าทุกระดับจะอยู่ใต้การควบคุมทั้งหมด
ฟองสบู่ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกระดับที่ปั่นขึ้นมาโดยธนาคารกลางในช่วงสิบปีที่ผ่านมากำลังจะระเบิด ....Federal Reserve เองก็กำลังจะยกเลิกมาตรการกระตุ้น ..ลดขนาดของงบดุล และขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดันให้สถานการณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้วตั้งแต่ 2008 ให้เลวร้ายลงอีก
IMF น่าจะพร้อมอยู่แล้วที่จะเข้าทดแทนดอลล่าร์ในฐานะเงินทุนสำรองของประเทศต่างๆด้วย crypto SDR ....
Cr.Sayan Rujiramora
สนับสนุนข่าวโดย ICMarkets
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/