ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนในช่วงวัยเด็กน่าจะต้องมีประสบการณ์เคยอ่านการ์ตูนที่มีตัวละครเกี่ยวกับหุ่นยนต์ไม่มากก็น้อย แต่ที่แน่ๆ ผมมั่นใจว่าเด็กไทยทุกคนรู้จักโดราเอม่อน เจ้าแมวเหมียวหุ่นยนต์นี้แหล่ะ ที่ควักของวิเศษออกมาจากพุงเพื่อช่วยให้โนบิตะ
เพื่อนของเขามีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น (หรือวุ่นวายขึ้นหว่า 555) และด้วยหลักฐานเหล่านี้เอง เราก็อาจจะพูดได้ว่า การสร้างหุ่นยนต์ที่มีอยู่ในจินตนาการ ให้เกิดขึ้นจริง และใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันนั้นก็เป็นอีกหนึ่งความใฝ่ฝันของมนุษยชาติที่จะประดิษฐ์มันขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการ ความสะดวกสบายและการเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถการทำงานของมนุษย์ให้สูงขึ้น
.
แล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เทคโนโลยีทางด้านหุ่นยนต์ สมองกล (Robotics & A.I.) การเขียนโปรแกรม หรือแม้แต่ฮาร์ดแวร์ทั้งหลายถูกพัฒนาต่อยอดกันขึ้นมา จนมาถึงจุดที่สามารถสร้างหุ่นยนต์ที่มองเห็น ได้ยิน หรือคิดด้วยตัวเองได้ แถมยังประเมินสถานการณ์แบบ Realtime ได้อีก จนในบางสถานการณ์ก็ตัดสินใจได้ดีแทบจะไม่แพ้กับมนุษย์อย่างเราๆเลย ถ้าเราจะมองเรื่องของระบบการประมวลผลของ software ยกตัวอย่างเช่น การเล่นเกมส์โกะ หรือ DotA ในปัจจุบันนี้ปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) สามารถเอาชนะมนุษย์ในแบบที่ต้องเรียกได้ว่า ก้าวข้ามขีดความสามารถที่มนุษย์จะไปถึงได้เรียบร้อยแล้ว และเมื่อเรามองในเรื่องของโครงสร้าง hardware ก็มีการพัฒนาต่อยอดมาได้ไกลมากจากอดีตไม่แพ้ software เช่นกัน
.
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นผมเชื่อว่าหลายหลายคนอาจจะเคยเห็น เจ้าหุ่นยนต์ที่กระโดดตีลังกากลับหลังที่ชื่อว่าเจ้า Atlas ผ่านจากทาง Facebook หรือ YouTube มาบ้างแล้ว คำถามแรกคือ ตอนที่เราเห็นหุ่นยนต์กระโดดตีลังกากลับหลังได้แล้ว คุณมีความรู้สึก หรือความคิด หรือคำถามอะไรขึ้นมาในใจ ? บางคนอาจบอกว่า เจ๋งหว่ะ! เฮ้ย มันทำได้ยังไง? แต่คำถามที่ผมอยากจะชวนทุกคนมาคิดกันต่อคือใครกันหนอ ที่เป็นผู้ให้กำเนิดเจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้ที่แท้จริง ? ซึ่งคำตอบนั้นก็หาได้ไม่ยากเลยถ้าทุกคนไปค้นดูจาก Google แล้ว ก็จะพบคำตอบว่า บริษัทที่ผลิตเจ้า Atlas ตัวนี้ก็คือ Boston Dynamics ซึ่งเป็นบริษัทผลิตหุ่นยนต์ที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นจนคนทั่วโลกต่างรู้จักพวกเขา ผ่านผลงานการสร้างหุ่นยนต์หลากหลายทั้ง Big Dog, Cheetah, Spot, SpotMini, PETMAN ที่มักออกมาโชว์ความเก๋าให้เราเห็นอยู่เรื่อยๆผ่านช่องทางออนไลน์ พวกเขาเริ่มต้นจากการแยกตัวออกมาจากทีมวิจัยและพัฒนาของ Massachusetts Institute of Technology หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า MIT ต่อมาพวกเขาก็ถูก Google เข้ามาควบรวมกิจการโดย Google เองก็มีความตั้งใจที่จะพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ด้วย แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง พวกเขาก็ตัดสินใจขายบริษัทนี้บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งโลกอนาคต ที่หลายคนไม่ค่อยรู้จัก นั่นคือSoftBank
.
SoftBank จริงๆแล้วเริ่มต้นจากการเป็นบริษัท software แต่เป็นที่รู้จักจากธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานของการต่อยอดสู่ธุรกิจแห่งอนาคต นอกจาก Boston Dynamics แล้ว SoftBank ยังตัดสินใจลงทุนในบริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจหุ่นยนต์เข้ามาอยู่ในพอร์ตการลงทุนของกองทุน SoftBank Vision Fund อีกหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหุ่นยนต์น้อยน่ารัก Pepper ที่สามารถอ่านอารมณ์ของคนที่เค้ากำลังสนทนาด้วยได้ ซึ่งตอนนี้เป็นที่นิยมมากในการนำมาใช้ทำหน้าที่ CSR หรือพนักงานต้อนรับ พนักงานขาย ในห้างร้านต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะในญี่ปุ่น อีกบริษัทนึงที่น่าจับตามองก็คือ brain corp บริษัทที่พัฒนาสมองกลให้กับเหล่าเครื่องจักรต่างๆ รวมไปถึงอุปกรณ์ ยานยนต์ต่างๆที่พวกเราขับกันอยู่ทุกวันนี้ เพื่อทำให้เครื่องจักรเหล่านั้นสามารถทำงานได้เอง คิดได้เอง ประเมินหน้างานได้เองโดยที่ไม่ต้องใช้คนเข้าไปควบคุมที่หน้างานอีกต่อไป, บริษัท light ผู้ผลิตกล้องแห่งอนาคต ที่สามารถเพิ่มศักยภาพการมองเห็นและการตรวจจับ scan and detection ได้ในแบบที่รับรู้ถึงมิติของความลึกในภาพนั้นๆ ซึ่งจะทำให้กล้องวงจรปิด กล้องถ่ายรูปในมือถือ หรือแม้แต่กล้องหน้ารถของรถไร้คนขับ จะมี ข้อมูลเพื่อเอาไปประทวลผลแม่นยำมากขึ้น หรือจะเรียกง่ายๆว่า ดวงตาของหุ่นยนต์ กำลังเข้าใกล้การเทียบเคียงกับตาของมนุษย์เลยทีเดียว หรือแม้กระทั่ง Cloudmind บริษัทที่เชื่อมฐานข้อมูล database อันมหาศาลที่เหล่าหุ่นยนต์จะต้องคอยเก็บข้อมูลเรื่อยๆตลอดเวลา เอาไปไว้บน cloud แล้วเชื่อมต่อกับหุ่นยนต์หน้างาน ในการประมวลผลแบบ realtime analysis แค่ลองคิดเล่นดูว่า หากบริษัทแม่ผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินมีนโยบายให้บริษัทหุ่นยนต์เหล่านี้ ทำงานวิจัยร่วมกันเพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ขึ้นมา เราอาจจะได้เห็นเจ้าโดราเอม่อนตัวเป็นๆก็ได้
.
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ SoftBank ตัดสินใจก้าวเข้ามาสู่โลกของหุ่นยนต์นั้นมาจากวิสัยทัศน์อันแรงกล้าของผู้นำบริษัท คุณมาซาโยชิ ซัง เขาได้ประกาศอย่างแน่วแน่ในงานประชุมผู้ถือหุ้นว่า SoftBank จะเป็นบริษัทที่ทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อสร้างความสุขให้กับมวลมนุษยชาติ ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ (Information Revolution) แต่ใครจะรู้ได้ว่า หากวันนึงที่หุ่นยนต์นั้นสามารถคิดเองได้ และมีความฉลาดเกินกว่ามนาย์ไปมากๆแล้ว สิ่งเหล่านี้จะไม่กลับมาเป็นภัยร้ายต่อมนุษยชาติ เหมือนที่เราเห็นในหนังเรื่อง The Matrix หรือ The Terminator ???
.
แน่นอนว่า คุณมาซาโยชิ ไม่ใช่คนที่คิดอะไรเพียงแค่ชั้นเดียว หรือมองอะไรเพียงแค่ผิวเผิน เค้าอาจจะมีแผนอะไรบางอย่างรองรับในอนาคตไว้แล้วก็ได้ ใครจะรู้ ? มาผู้ชายคนนี้ในตอนต่อไปกันครับ ว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่ และอะไรทำให้เค้าคิดแบบนั้น สวัสดีครับ
.
แอดมินน้องน้ำตาล
Cr.DinoTech5.0
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/