พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า ผลการวิเคราะห์กรณีสหรัฐใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีน 5,745 รายการ ในอัตรา 10% มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มีผลตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. 2561
ก่อนปรับเป็น 25% ในวันที่ 1 ม.ค. 2562 พบว่าไทยมีศักยภาพส่งออกสินค้าทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐเพิ่มขึ้นหลายรายการ ได้แก่ สินค้าเกษตร เช่น ถั่วแห้ง แผ่นยางสดรมควัน ข้าวสี ยางแท่ง ผักผลไม้สดแช่แข็งแช่เย็นและแปรรูป เช่น กล้วย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด มะละกอ สับปะรด เป็นต้น
นอกจากนี้ ไทยยังมีโอกาสส่งออกสินค้าทดแทนจีนไปตลาดสหรัฐในกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป เช่น ปลาทูน่าบิ๊กอาย ปลาทูน่าท้องแถบ ปลาทูน่าครีบเหลืองสดและแช่แข็ง เนื้อปลาแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น น้ำผึ้งธรรมชาติ อาหารปรุงแต่งและเครื่องดื่ม เช่น อาหารสุนัขและแมวสำหรับขายปลีก เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ที่ไม่ใช่น้ำ ผลไม้) เคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก เช่น กรดซิตริก ยานยนต์และส่วนประกอบ เช่น เครื่องยนต์สันดาปภายใน ยางรถยนต์ โดยสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกทดแทนสินค้าจีนสูง ได้แก่ ข้าวสี ยางแท่ง มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด น้ำผึ้งธรรมชาติ กรดซิตริก เครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จีนได้ประกาศตอบโต้สหรัฐ โดยจะขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐ 5,207 รายการ ในอัตรา 5-25% มูลค่ารวม 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่ง สนค.จะมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิดและประเมิน ผลกระทบและโอกาสของไทยต่อไป
ด้านบลูมเบิร์กรายงานอ้างผลสำรวจโดยหอการค้าสหรัฐในจีนและเซี่ยงไฮ้ ว่า สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่คุกรุ่นขึ้น จะทำให้ภาคธุรกิจหันมาพึ่งพาประเทศในกลุ่มอาเซียนมากขึ้นทั้งในแง่ของการสั่งสินค้า และการย้ายฐานการผลิต ซึ่งมีบริษัทอเมริกันในจีนราว 1 ใน 3 หรือมากกว่า 430 แห่ง ที่มีแผนหรือกำลังพิจารณาจะย้ายฐานการผลิตออกจากจีน โดยมีอาเซียนเป็นเป้าหมายหลัก
นิโคลัส กวาน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของคณะกรรมการพัฒนาการค้าฮ่องกง กล่าวว่า ภูมิภาคอาเซียน คือ มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยมีธุรกิจในฮ่องกงจำนวนมากย้ายไปอาเซียนเพื่อเป็นแหล่งหลบภัยจากสงครามการค้า
ธนาคารเมย์แบงก์ ระบุว่า นอกจากภาคอิเล็กทรอนิกส์แล้ว อุตสาหกรรมยานยนต์ อาหารทะเล ยางพารา และการท่องเที่ยวของไทยน่าจะได้อานิสงส์ เพราะสินค้าจีนจะน่าดึงดูดน้อยลง ขณะที่ข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี เมื่อเดือน ก.ค. ระบุว่า ตลาดผลไม้ไทยก็น่าจะมีโอกาสมากขึ้นด้วย จากปัจจุบันที่จีนนำเข้าผลไม้จากไทยในสัดส่วน 21% เมื่อเทียบกับสหรัฐที่ 8% และการที่ประเทศไทยสามารถส่งออกสินค้าทดแทนได้ ทำให้ไทยเป็น 1 ในประเทศที่จะได้โอกาสจากสงครามการค้ามากที่สุด
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (อีไอซี) ปรับผลกระทบของสงครามการค้าต่อการส่งออกไทยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยคาดว่าอาจมีผลกระทบมูลค่าการส่งออกราว 1.1% เป็น 6.1% ของมูลค่าการส่งออกรวม ซึ่งสัดส่วนนี้เป็นการสะท้อนเพดานความเสี่ยงด้านสูง คาดว่าผลกระทบจะเริ่มชัดขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ถึงปีหน้า ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง
ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ผลกระทบ เชิงบวก คือ ไทยสามารถส่งออกแทนจีนไปสหรัฐได้ แต่ผลกระทบเชิงลบ คือ เมื่อสินค้าจีนโดนเก็บภาษีสูงขึ้นขายได้น้อยลง สิ่งที่ตามมาก็คือจีนจะหันมาขายสินค้าในกลุ่มซีแอลเอ็มวีมากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตสินค้าในไทยได้รับผลกระทบ ซึ่งคงเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นภายในปี 2562 สำหรับผลกระทบระยะกลางถึงยาวนั้น หากมีการย้ายฐานการผลิตออกมาจากจีนจริง เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มไทย มาเลเซีย และเวียดนาม อาจได้ประโยชน์จากตรงนี้
จาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า กนง.กำลังติดตามความไม่แน่นอน 2 เรื่องจากสงครามการค้า และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความจำเป็นของนโยบายการเงินผ่อนคลายในระดับปัจจุบันยังมีอยู่ ได้แก่ ความไม่แน่นอนของนโยบายกีดกันทางการค้าว่าสุดท้ายสหรัฐกับจีนจะตกลงกันได้หรือไม่ ผลกระทบ ที่เกิดกับภาคเศรษฐกิจแต่ละประเภทต่างกันมากน้อยอย่างไร และการปรับตัว ของผู้นำเข้าส่งออก ส่วนอีกด้านหนึ่งคือเรื่องการเลือกตั้งของไทย
Source: Posttoday
เพิ่มเติม
- U.S.-China Trade Tussle Is Creating Winners in Southeast Asia:
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
บทความสนับสนุนโดย FXPro
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman