ข้อมูลล่าสุดจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์บล็อกเชน CryptoQuant ระบุว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา “Realized Cap” ของ Bitcoin พุ่งขึ้นกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ตัวชี้วัดดังกล่าวแตะระดับสูงถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนเม็ดเงินลงทุนจริงที่ผู้ถือเหรียญได้ทุ่มลงในระบบ

เงินใหม่มาจาก Treasury และกองทุน ETF

Ki Young Ju ซีอีโอของ CryptoQuant เปิดเผยว่า กระแสเงินหลักที่ไหลเข้ามานั้นมาจากสองกลุ่มสำคัญ ได้แก่

• บริษัทที่ถือ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรอง เช่น MicroStrategy ของ Michael Saylor

• กองทุน Spot Bitcoin ETF ที่เป็นช่องทางลงทุนหลักในตลาดทุน

อย่างไรก็ตาม เขามองว่าแรงหนุนจากทั้งสองกลุ่มยังชะลอตัว ทำให้ราคายังไม่สามารถฟื้นได้อย่างเต็มที่

“ตอนนี้ความต้องการหลักยังมาจาก ETF และ MicroStrategy แต่ทั้งคู่ไม่ได้เร่งซื้อเหมือนก่อน หากสองขุมพลังนี้กลับมาซื้ออีกครั้ง ตลาดก็จะกลับมาคึกคักได้”
— Ki Young Ju กล่าว

นักขุดลงทุนต่อเนื่อง ชี้สัญญาณบวกระยะยาว

แม้ราคาจะนิ่ง แต่กิจกรรมในเครือข่ายยังแข็งแกร่ง โดย Hashrate ของ Bitcoin เดินหน้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นับเป็นสัญญาณเชิงบวกของการพัฒนาระบบในระยะยาว

หนึ่งในกรณีที่โดดเด่นคือ American Bitcoin บริษัทขุดเหมืองที่มีความเชื่อมโยงกับครอบครัวทรัมป์ ได้ออเดอร์เครื่องขุด ASIC รุ่นใหม่กว่า 17,280 เครื่อง มูลค่ารวมประมาณ 314 ล้านดอลลาร์ เพื่อเร่งกำลังการผลิตเหรียญ

นักวิเคราะห์ชี้ มีลุ้นแตะ $140,000 ภายในเดือนพฤศจิกายน

นักวิเคราะห์จาก Bitfinex เชื่อว่า หากสหรัฐฯ ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่ม และ ETF กลับมามีกระแสเงินไหลเข้าระดับ 10,000–15,000 ล้านดอลลาร์ ราคาของ Bitcoin อาจพุ่งแตะระดับ $140,000 ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

“แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยของ Fed บวกกับฤดูกาล Q4 ซึ่งเป็นขาขึ้นของตลาดคริปโต อาจเป็นเชื้อไฟให้ Bitcoin พุ่งทะยาน” — นักวิเคราะห์ Bitfinex กล่าว

ปัจจัยเสี่ยงยังไม่จางหาย

แม้มุมมองเชิงบวกยังครองตลาด แต่นักลงทุนต้องเฝ้าระวังความเสี่ยง โดยเฉพาะ:

• ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

• นโยบายภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน

• ความผันผวนของกระแสเงินใน ETF